· โรคและอาการ
ตามปกติตับจะผลิตกรดยูริกออกมาแล้วจะกำจัดออกทางปัสสาวะ
แต่ถ้าร่างกายมีกรดยูริกสะสมอยู่มากเกินไป จะเกิดก้อนผลึกคมๆ ในไขข้อ
(ของเหลวกันกระแทกตามข้อต่างๆ ในร่างกาย) คุณจะรู้สึกเหมือนมีเศษแก้วแตกบดเบียดอยู่ในข้อ
เรียกอาการข้ออักเสบนี้ว่า “เกาต์” เกาต์มักเกิดกับชายอายุเกิน 40 ปี (ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่ผลึกกรดยูริกจะเกิดการสะสม)
ส่วนใหญ่แล้วเกาต์จะเกิดกับข้อหัวแม่เท้า แต่ก็เกิดได้กับข้อมือ หัวเข่า ข้อศอก
และข้อบริเวณอื่นได้ นอกจากจะเจ็บปวดแล้วเกาต์ยังทำให้ข้อบวมด้วย
เอนหลังและประคบน้ำแข็ง
o
เมื่อโรคเกาต์กำเริบควรพยายามนอนลง
และยกข้อที่ปวดให้สูงขึ้น เรื่องนี้อาจไม่เป็นปัญหา
เพราะเมื่ออาการเกาต์กำเริบคุณอาจยกผ้าสักผืนไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ
o
ถ้าพอทนได้
ให้ประคบน้ำแข็งสัก 20 นาที
ความเย็นจะทำให้ชาบริเวณที่ปวด และลดบวมด้วย
ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งไว้เพื่อปกป้องผิวหนัง ประคบเย็น วันละ 3
ครั้ง ทำติดต่อกัน 2-3 วัน
กินเชอร์รี่
o
เชื่อกันว่าผลเชอร์รี่มีสรรพคุณรักษาเกาต์ได้
เชอร์รี่มีสารที่ช่วยทำให้กรดยูริกในเลือดมีสภาพเป็นกลาง และยังมีสารต้านอักเสบ
ทั้งเชอร์รี่สดและแห้งให้ผลเท่าๆ กัน เมื่อรู้สึกว่าอาการกำลังจะกำเริบ ให้กินเชอร์รี่สัก
1-2 กำมือ ถ้าไม่มีผลสด ก็กินเชอร์รี่กระป๋องแทน มีการศึกษาบ่งชี้ว่า
การกินเชอร์รี่ 20 ลูก จะลดปวดได้เท่ากับยาแอสไพริน 1 เม็ด
o
ถ้าไม่ชอบเชอร์รี่
ผลไม้ในตระกูลเดียวกันอย่างสตรอว์เบอร์รี่และราสป์เบอร์รี่ก็ให้ผลคล้ายกัน
แต่ต้องกินปริมาณมากกว่าเชอร์รี่
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรักษาเกาต์
o
กินน้ำมันปลาหรือน้ำมันปอ (flaxseed
oil) เป็นประจำทุกวันจะช่วยลดอาการข้ออักเสบ
น้ำมันทั้งสองชนิดนี้อุดมด้วยกรดไอโคซาเพนทาอีโนอิกหรืออีพีเอ (icosapentaenoic
: EPA) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอักเสบ กินน้ำมันปอวันละ 1-3 กรัม (น้ำมันปอ 1 กรัมประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ) ควรใช้ในรูปน้ำมันแทนที่จะกินแบบแคปซูล เพราะคุณต้องใช้มากกว่า
12 แคปซูลจึงจะได้น้ำมันปอ 1 ช้อนโต๊ะ
ส่วนน้ำมันปลานั้นควรกินให้ได้ 6,000 มก. ต่อวัน
โดยจะใช้แบบแคปซูลหรือน้ำมันก็ได้ (ระวัง ถ้ากินในปริมาณมาก ควรเลือกน้ำมันปลา
ไม่ใช่น้ำมันตับปลาหรือน้ำมันตับปลาค้อด ซึ่งแม้จะมีสารต้านอักเสบปริมาณที่อดี
แต่จะมีวิตามินเอและวิตามินดีมากเกินไป)
o
เซเลอรี่สดหรือสารสกัดเมล็ดเซเลอรีชนิดเม็ด
จะช่วยลดกรดยูริกได้ปริมาณที่แนะนำคือวันละ 2-4 เม็ด
o
ใบเนตเทิลเป็นยารักษาข้ออักเสบที่ชาวตะวันตกใช้กันมานาน
โดยจะช่วยลดกรดยูริก ปัจจุบันมีการผลิตในรูปสารสกัดโดยทำให้แห้งด้วยความเย็น
ขนาดที่ใช้คือ วันละ 300-600 มก.
แต่ไม่ควรกินติดต่อกันเกิน 3 เดือนในแต่ละครั้ง (ระวัง
อย่าใช้ชนิดทิงเจอร์ เพราะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ซึ่งทำให้เกาต์กำเริบ)
เนตเทิลสามารถใช้ทาภายนอกได้ด้วย
โดยแช่ผ้าสะอาดในน้ำต้มใบเนตเทิลแล้วนำมาปิดทับข้อที่ปวด
ดื่มน้ำและงดดื่มเบียร์
o
ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว (ขนาด 250 มล.)
จะช่วยกำจัดกรดยูริกส่วนเกินออกจากร่างกาย
นอกจากนี้น้ำยังลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตซึ่งจะยิ่งทำให้อาการเกาต์กำเริบหนักขึ้น
o
ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เพราะดูเหมือนแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายผลิตกรดยูริกมากขึ้นและขัดขวางการขจัดกรดยูริก
โดยเฉพาะเบียร์ซึ่งมีสารพิวรีนมากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่น
ตรวจสอบยาที่กิน
o
สำหรับผู้ที่ต้องกินยาขับปัสสาวะเป็นประจำ
เช่น ผู้เป็นความดันเลือดสูง ควรปรึกษาแพทย์ดูว่าสามารถใช้ยาอื่นแทนได้หรือไม่
เพราะยาขับปัสสาวะจะขจัดของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกาย
ทำให้ปริมาณกรดยูริกที่ผ่านเข้าไปในปัสสาวะลดลงด้วย
จึงเหลือกรดยูริตกค้างอยู่ในร่างกายมากขึ้น และทำให้คนที่เป็นโรคเกาต์อาการแย่ลง
o
บางครั้งเกาต์ถูกกระตุ้นด้วยกรดไนอะวินหรือกรดนิโคตินิก
ซึ่งแพทย์อาจสั่งให้กับผู้ที่คอเลสเตอรอลสูง ถ้าคุณกินยานี้อยู่
ลองปรึกษาแพทย์ว่าใช้ยาอื่นแทนได้หรือไม่
อย่าอดอาหาร
o
การลดน้ำหนึกช่วยป้องกันโรคเกาต์ได้ก็จริง
แต่การลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน หรือการอดอาหารกลับเป็นผลเสีย เพราะเมื่อคุณอดอาหาร
เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะปล่อยกรดยูริกออกมามากขึ้น
คนที่น้ำหนักเกินควรลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป คือควรลดไม่เกิน 1 กก. ต่อสัปดาห์
เมื่อใดควรพบแพทย์
ถ้าคุณเริ่มมีอาการบวมและเจ็บตามข้อ
ให้รีบพบแพทย์เพราะอาจเป็นเกาต์หรือข้ออักเสบ
แพทย์อาจใช้เข็มขนาดเล็กดูดของเหลวจากข้อมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
ดูว่ามีผลึกกรดยูริกหรือไม่ แม้จะมียารักษาโรคเกาต์อยู่แต่ก่อนจะกินยา
คุณควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่ากำลังใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดใดอยู่บ้าง
เพราะยาหรือสารเสริมอาหารบางอย่างอาจยิ่งทำให้อาการกำเริบ
อาหารที่ต้องหลีกห่าง
อาหารโปรตีนสูงและอาการที่มีสารพิวรีนจะเพิ่มกรดยูริกในร่างกาย
ผู้ที่เป็นโรคเกาต์จึงต้องเลี่ยงอาหารเหล่านี้ ซึ่งได้แก่ เนื้อสัตว์
เครื่องในสัตว์ กุ้ง หอย ปู ปลาบางชนิด เช่น ปลาแอนโชวี ปลาซาร์ดีน และปลาเฮร์ริง
รวมทั้งกะปิและน้ำพริกกะปิดด้วย นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงอาหารทอด
คาร์โบไฮเดรขัดขาว (เช่น แป้งขัดขาว) ข้าวโอ๊ต อาหารที่มียีสต์เป็นส่วนผสม เช่น
เบียร์และเบเกอรรีทั้งหลาย ผักบางชนิด เช่น หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วแระ ผักโขม
และดอกกะหล่ำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น