วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โฮมิโอพาธีคืออะไร

      หากคุณไม่เคยรู้จักโฮมิโอพาธี (homeopathy) มาก่อน ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะการแพทย์ทางเลือกประเภทนี้ยังไม่มีการนำเข้ามาในประเทศไทยอย่างเป็นกิจลักษณะ มีเพียงผู้สนใจกลุ่มเล็กๆ ที่หาซื้อยาตำรับโฮมิโอพาธีมากินเองและีมีบางส่วนที่เรียกวิธีนี้ว่า การบำบัดโรคด้วยการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม การบำบัดวิธีนี้ได้รับความนิยมแพร่หลายในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นต้นกำเนิดของโฮมิโอพาธี หากคุณจะซื้อยามาใช้เองตามคำแนะนำในบทความนี้ ก็ไม่ต้องกังวลใจ เพราะตำรับยาโฮมิโอพาธีที่แนะนำไว้ในบทความนี้มีความปลอดภัยมาก และได้รับการยอมรับแพร่หลายว่าเป็นตัวยาที่มีฤทธิ์ในการรักษา หากคุณยังนึกไม่ออกว่าเรานำยามา 1 หยด (เช่น ยาลดน้ำมูกชนิดน้ำ) แล้วเอามาเจือจางกับน้ำ 10 หยด เขย่าจนส่วนผสมเข้ากันดี จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ 1 หยด มาผสมกับน้ำอีก 10 หยด แล้วทำตามกระบวนการนี้อีก 2-3 ครั้ง สุดท้ายจะเหลืออะไรบ้าง ตามหลักการวิทยาศาสตร์ย่อมเหลือตัวยาไม่มากนัก แต่ตามหลักโฮมิโอพาธีแล้ว ยาที่เจือจางมากที่สุดจะเป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

        หลักการที่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ีนี่เองที่ทำให้แพทย์ทั่วไปไม่ค่อยยอมรับการบำบัดวิธีนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้คิดค้นโฮมิโอพาธีเป็นแพทย์ชาวเยอรมันเมื่อกว่า 200 ปีก่อน และตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีแพทย์และผู้ป่วยหลายรายที่ยืนยันว่าการบำบัดวิธีนี้ำได้ผลอยู่เหมือนกัน

        แนวคิดพื้นฐานของโฮมิโอพาธี คือ โฮมิโอพาธีจะศึกษาสารสกัดกว่า 2,000 ชนิด เพื่อเลือกเอาชนิดหนึ่งที่หากใช้ในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการคล้ายกับอาการเจ็บป่วยจากโรคนั้นๆ ของผู้ป่วย แต่เมื่อนำมาใช้ในปริมาณน้อยมากๆ ตามทฤษฎีแล้ว สารนี้จะมีผลในการรักษาแทน ตำรับยาส่วนใหญ่ที่ใช้ในการบำบัดแบบโฮมิโอพาธีจะได้จากสมุนไพรและแร่ธาตุ เช่น เซนต์จอห์น สเวิร์ต (St. John's wort) สำหรับรักษาอาการซึมเศร้า คอมเฟรย์ (comfrey) รักษาบาดแผลและแผลฟกช้ำ และอายไบรท์ (eyebright) สำหรับรักษาอาการตาเมื่อยล้า แต่มีสารหลากหลายที่ถูกทำให้เจือจางด้วยน้ำปริมาณมากจนมีสารเหล่านี้หลงเหลืออยู่น้อยมาก จนอาจถึงขั้นไม่มีสารออกฤทธิ์อยู่เลย

        ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่กล่าวว่า โฮมิโอพาธีฝ่าฝืนกฎพื้นฐานทางเภสัชวิทยาที่เชื่อว่ายิ่งมีตัวยาน้อยเท่าไร ยิ่งมีผลน้อยเท่าั้นั้น แต่นักวิจัยที่ศึกษาโฮมิโอพาธีได้ข้อสรุปที่น่าเชื่อถือ เช่น จากการศึกษาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 478 คน พบว่า ร้อยละ 17 ของผู้แ่วยที่รักษาโดยวิธีโฮมิโอพาธีมีอาการดีขึ้น ขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกมีแค่ร้อยละ 10 ที่อาการดีขึ้น ในปี 1991 นิตยสารทางการแพทย์ของอังกฤษ (British Medical Journal) ได้มีนำเสนอผลการศึกษาตำรับยาโฮมิโอพาธีกว่า 107 อย่าง พบว่าร้อยละ 77 ของยาเหล่านี้มีผลในเชิงบวก

        มีผู้เสนอแนวคิดว่ากระบวนการเจือจางและเขย่าสารประกอบนั่นเองที่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี แต่ยังไม่มีใครทราบชัดว่าโฮมิโอพาธีทำงานอย่างไร เนื่องจากปริมาณสารออกฤทธิ์มีน้อยมาก ดังนั้นการลองใช้ิวิธีนี้จึงไม่มีอันตรายอะไร การซื้อยาโฮมิโอพาธีมาใช้เองควรระมัดระวังเรื่องปริมาณที่ใ้ช้เพราะตัวยาที่ใช้จะแตกต่างกันไปกับอาการของแต่ละคน และปริมาณที่ใช้อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพจิตใจและอารมณ์ใ่นช่วงนั้นด้วย ดังนั้นควรสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญให้แน่ชัดก่อน

        หน่วยของยาโฮมิโอพาธีนั้นแสดงเป็นตัวอักษร x หรือ c ซึ่งจะบอกให้รู้ว่าตัวยานั้นมีการเจือจางมากเท่าใด เช่น ยาที่มีค่า 1x หมายความว่ามีการเจือจาง 1 ครั้ง โดยใช้สารออกฤทธิ์สำคัญ 1 ส่วนเจือจางกับน้ำ 10 ส่วนยาที่มีค่า 2x จะมีสารออกฤทธิ์สำคัญ 1 ส่วนต่อน้ำ 100 ส่วน ยาที่มีค่า 3x จะมีสารออกฤทธิ์สำคัญ 1 ส่วนในน้ำ 1,000 ส่วน และอาจเจือจางถึงขั้นไม่เหลือส่วนที่เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญอยู่เลย

        อย่างไรก็ตาม โฮมิโอพาธีไม่สามารถนำมาใช้แทนการรักษาจากแพทย์ได้ ในต่างประเทศที่มีนักบำบัดแบบโฮมิโอพาธีนั้น นักบำบัดส่วนใหญ่จะใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงกับคนไข้ใหม่ 1 คน โดยต้องมีการซักประวัดิอย่างละเอียด รวมทั้งประเมินอาการ เพื่อตัดสินใจว่าคนไข้รายนี้ควรรักษาด้วยวิธีโฮมิโอพาธีหรือควรไปรับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบัน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น