วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข้อแพลงและสันแข้งอักเสบ


·  โรคและอาการ
ส่วนใหญ่อาการข้อเคล็ดมักเกิดกับข้อเท้า ไม่จำเป็นว่าคุณต้องเล่นกีฬา แค่ก้าวพลาดที่บันไดชั้นล่างสุด หรือเดินสะดุดขอบทางเดินก็ทำให้ข้อพลิกและเจ็บปวดในทางตรงกันข้าม สันแข้งอักเสบเป็นอาการบาดเจ็บที่มักเกิดจากการเล่นกีฬา มักเป็นกับนักวิ่ง นักเต้นบัลเล่ต์ นักฟุตบอล หรือจะว่าไปแล้วเป็นได้กับใครก็ตามที่เล่นกีฬาที่มีแรงกระแทกที่ขาส่วนล่าง ขณะออกกำลังกล้ามเนื้อขาส่วนล่างจะบวม และกดทับช่องว่างระหว่างกระดูกหน้าแข้งและกระดูกน่อง ซึ่งเชื่อมจากหัวเข่าไปยังข้อเท้า แรงกดนี้ระคายเคืองต่อกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้เจ็บปวด

ทำตามกฎ RICE
o   สำหรับอาการบาดเจ็บทั้งสองอย่าง ผู้เชี่ยวชาญเชื่อมั่นในการปฏิบัติตามแนวทาง RICE ซึ่งเป็นตัวย่อเพื่อให้จำง่ายของคำว่า rest (พักผ่อน) ice (ใช้ความเย็น) compression (พันผ้ายืด) และ elevation (ยกสูง) ยกขาหรือข้อข้างที่เจ็บให้สูงขึ้น ใช้น้ำแข็งประคบ แล้วใช้ผ้ายืดพันไว้ ถ้าข้อมือเคล็ดให้ยกสูงโดยใช้สายคล้องแขน
o   น้ำแข็งจะช่วยลดบวมและทำให้ชาบริเวณที่เจ็บ ถ้าข้อแพลง ความเย็นจะช่วยลดการคั่งของของเหลวในบริเวณที่บาดเจ็บด้วย นำถุงใส่น้ำแข็งทุบหรือถุงน้ำแช่แข็งมาห่อผ้า แล้วประคบตรงที่บาดเจ็บ 20 นาที ผ้าที่รองระหว่างถุงน้ำแข็งกับผิวหนังจะช่วยไม่ให้น้ำแข็งกัดผิวหนัง
o   สำหรับอาการสันแข้งอักเสบ คุณอาจใช้น้ำแข็งก้อนแทน ทำเองได้โดยนำน้ำใส่ถ้วยโฟมแล้วนำไปแช่แข็ง พอจะใช้ก็ฉีกถ้วยโฟมออก แล้วกดก้อนน้ำแข็งลงบนสันแข้ง เมื่อน้ำแข็งละลายก็ค่อยๆ ฉีกถ้วยโฟมไปออกไปเรื่อยๆ แต่มีข้อจำกัดคือ ห้ามทำนานเกินครั้งละ 8 นาที ต้องปล่อยให้ผิวหนังที่โดนความเย็นจัดได้พักฟื้นคืนความอบอุ่นก่อนที่จะทำซ้ำครั้งที่ 2 หรือ 3
o   ข้อที่เคล็ดขัดยอกต้องได้พักผ่อน คุณอาจไม่รู้สึกอะไรมาก แต่การใช้งานข้อต่อไปจะยิ่งทำให้อาการแย่ลง พักสัก 2 วันถ้าข้อเคล็ดเพียงเล็กน้อย ช่วงที่กำลังรักษาอาการ ให้ใช้ผ้ายืดพันไว้ (ตามแนวทาง RICE) เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหว ฟื้นฟูเอ็นยึดข้อให้แข็งแรง และลดบวม โดยจำกัดปริมาณของเหลวที่มาคั่งอยู่บริเวณนั้น

ยืดออก
o   สำหรับอาการสันแข้งอักเสบ นั่งหรือนอนให้เข่างอเล็กน้อย งอเท้าข้างที่ขาเจ็บขึ้น – ลง เข้า – ออก เป็นวงกลม โดยที่ขาอยู่นิ่งๆ ทำซ้ำท่านี้ 10 ครั้ง
o   สำหรับการยืดขาเพื่อลดการบาดเจ็บ เริ่มด้วยท่านั่งบนพื้น เหยียดขาข้างที่เจ็บออกไป ให้เข่างอเล็กน้อย นำผ้าเช็ดตัวมาคล้องเข้ากับปลายเท้า ดึงผ้าเช็ดตัวเข้าหาตัวเราในขณะที่เข่ายังงออยู่ ค้างไว้ 15-30 วินาที ผ่อนคลายแล้วทำท่านี้ซ้ำอีก 3 ครั้ง
o   ท่าต่อมา ยืนขึ้น วางมือทาบเข้ากับฝาผนังในระดับสายตา ให้หน้าแข้งข้างที่ไม่เจ็บอยู่ข้างหน้า ข้างที่เจ็บอยู่ข้างหลัง ส้นเท้าอยู่บนพื้น หันหลังเท้าเข้าข้างในเล็กน้อย เหมือนเท้านกเพนกวิน ค่อยๆ โน้มตัวเข้าหาผนังจนคุณรู้สึกตึงที่น่อง ค้างไว้ 15-30 วินาที
o   ทำท่าเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้วาดปลายเท้าที่อยู่ข้างหลังไปอีกทางหนึ่งของขาด้านหน้า เพื่อถ่ายน้ำหนักทั้งหมดลงไปที่ด้านนอกเท้า พอรู้สึกตึงให้ค้างไว้ 15-30 วินาที
o   ยืน ใช้มือข้างหนึ่งแตะผนังหรือเก้าอี้ไว้เพื่อให้ร่างกายสมดุล งอเข่าข้างที่ขาเจ็บขึ้น ใช้มืออีกข้างจับปลายเท้า ดึงปลายเท้าเข้าหาส้นเท้าเพื่อให้ตึงที่หน้าแข้ง ค้างไว้ 15-30 วินาที ทำท่านี้ซ้ำอีก 3 ครั้ง
o   เกาะเก้าอี้หรือโต๊ะไว้เพื่อไม่ให้ล้ม ยืนเขย่งปลายเท้า ค้างไว้ 5 วินาที ค่อยๆ ลดปลายเท้าลงสู่ท่าปกติอย่างช้าๆ ทำซ้ำ 10 ครั้ง แล้วทำเซ็ตละ 10 ครั้งอีก 2 เซ็ต
o   เดินบนส้นเท้า 30 วินาที สลับกับเดินตามปกติอีก 30 วินาที ทำซ้ำ 4 ครั้ง

พิเศษสำหรับข้อแพลง
o   เมื่อข้อแพลง กล้ามเนื้อรอบๆ ข้อจะเกิดการยืด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ได้ใช้งาน และส่วนหนึ่งเกิดจากการฟกช้ำ ขณะที่คุณอาจต้องระวังการยืดข้อควรใช้เวลาสัก 2-3 นาทีในแต่ละวันยืดกล้ามเนื้อเบาๆ แล้วจึงผ่อนคลายสู่ท่าปกติ
o   ปกป้องข้อและจำกัดอาการบวดโดยพันผ้ารัดข้อแบบมีโครงเป็นรูปทรงกระบอก (tube bandage) ที่มีจำหน่ายตามร้านขายยา
o   3 วันหลังการบาดเจ็บ คุณเริ่มใช้ความร้อนรักษาข้อได้ ถ้าใช้เร็วกว่านั้นจะเสี่ยงต่อการเกิดอาการบวมมากขึ้น เพราะความร้อนจะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในบริเวณนั้น คุณอาจแช่น้ำร้อน ใช้ขวดน้ำร้อน หรือแผ่นประคบร้อนก็ได้
o   ลองกินโบรมีเลน (bromelain) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ได้จากสับปะรด ครั้งละ 500 มก. วันละ 3 ครั้งขณะท้องว่าง อาจช่วยป้องกันอาการบวม ลดอักเสบและบรรเทาอาการกดเจ็บ ทั้งยังช่วยการไหลเวียนของเลือด ทำให้หายเร็วขึ้น

ป้องกันไว้ก่อน
คุณลดความเสี่ยงต่อการเกิดข้อแพลงและสันแข้งอักเสบได้โดยทำตามคำแนะนำต่อไปนี้
o   เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจะต้องยืดกล้ามเนื้อน่องก่อนออกกำลังกายไม่ว่าคุณจะวิ่ง เต้นแอโรบิก หรือเล่นกีฬาเป็นทีม ลงปรึกษาครูฝึกหรือโค้ชสอนฟิตเนสดูว่า การยืดกล้ามเนื้อวิธีไหนเหมาะสมที่สุด จากนั้นทำตามอย่างเคร่งครัดทั้งก่อนและหลังออกกำลังกาย
o   ออกกำลังกายบนพื้นที่นุ่มที่สุดเท่าที่หาได้ เลือกวิ่งบนพื้นหญ้าหรือพื้นดินดีกว่าวิ่งบนพื้นยางมะตอยหรือคอนกรีต ถ้าคุณเต้นแอโรบิกบนพื้นแข็งๆ (เช่น บนพรมที่พื้นข้างล่างเป็นคอนกรีต) ต้องปูเสื่อที่เป็นโฟมนิ่มรองรับแรงกระแทกเสียก่อน
o   ซื้อรองเท้าที่รองรับแรงกระแทกได้ดี และรองรับส่วนโค้งของเท้า ปรึกษาผู้ชำนาญเรื่องเท้าเกี่ยวกับแผ่นรองรับส่วนโค้งของเท้าหรือแผ่นรองส้นเท้า
o   เมื่อซื้อรองเท้ากีฬา ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญว่า รองเท้าชนิดใดเหมาะกับเท้าคุณที่สุด ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเกิดเท้าพลิกในขณะออกวิ่ง เส้นเอ็นของคุณจะต้องทำงานหนักเพื่อชดเชย ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดสันแข้งอักเสบมากยิ่งขึ้น ร้านขายอุปกรณ์กีฬาที่ดีจะมีรองเท้าที่ป้องกันอาการนี้จำหน่าย
o   อย่าคาดหวังว่า รองเท้ากีฬาจะใช้ได้สารพัดประโยชน์ ซื้อรองเท้าให้เหมาะกับชนิดกีฬาที่คุณเล่น เช่น รองเท้าสำหรับใส่วิ่งก็ไม่เหมาะสำหรับใส่ไปตีสควอช
o   ถ้าคุณเป็นคนที่วิ่งเป็นประจำ ซื้อรองเท้าวิ่งคู่ใหม่ก่อนที่คู่เก่าจะสึก ถ้าคุณวิ่งมากกว่า 40 กม. ต่อสัปดาห์ คุณอาจต้องการรองเท้าใหม่ทุก 2-3 เดือนและแม้ว่าคุณจะวิ่งน้อยกว่านี้ ก็ควรตรวจสอบรอยสึกของรองเท้าเมื่อใช้ไปได้สัก 4 เดือน
o   คนที่มีรูปเท้าแบน ต้องใช้รองเท้าที่มีส่วนรองรับส่วนโค้งของเท้าและกันแรงกระแทกได้เพียงพอ

เมื่อใดควรพบแพทย์
ถ้าข้อแพลง เคล็ด และรู้สึกปวดมาก บวมมาก หรือมีรอยฟกช้ำมาก ควรไปพบแพทย์เพื่อเอ็กซเรย์ เพราะกระดูกคุณอาจแตก ถ้ารักษาตัวเอง 3 สัปดาห์แล้วยังไม่หาย ควรพบแพทย์ส่วนอาการสันแข้งอักเสบถ้าเกิน 3 สัปดาห์แล้วยังปวดอยู่ต้องไปพบแพทย์ เพราะกระดูกอาจร้าวจากการใช้งานเกินไป (stress fracture) หรือกล้ามเนื้อบวม (compartment syndrome) กระดูกร้าว คือรอยแตกเล็กๆ ในกระดูก ทำให้ปวดเป็นบริเวณเล็กๆ ในกระดูกหน้าแข้ง ร่วมกับอาการบวมและกดเจ็บอาการอาจแย่ลงมากหากไม่รักษา อาการกล้ามเนื้อบวมเกิดจากกล้ามเนื้อหน้าขาท่อนปลายขยายใหญ่เกินกว่าช่องว่างที่ประกอบด้วยเส้นใย ซึ่งเป็นที่บรรจุกล้ามเนื้อนั้น กรณีนี้อาจต้องผ่าตัด

รู้หรือไม่
อาการข้อแพลงหรือเคล็ดอาจนำไปสู่การบาดเจ็บซ้ำได้ คุณต้องอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายเสมอ ถ้าข้ออ่อนแอลงเพราะเคยเกิดข้อเคล็ดแล้ว ต้องป้องกันข้อโดยใช้ผ้ายืดพันแผลรัดไว้ขณะออกกำลังกาย

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สมุนไพรกลั้วคอป้องกันโรค


        การใช้น้ำสมุนไพรกลั้วคอและบ้วนปากเป็นเคล็ดลับสุขภาพที่มีการใช้กันมานาน ในตำราอายุรเวทอินเดียเชื่อว่า การกลั้วคอและบ้วนปากด้วยน้ำมันพืชจะช่วยให้นอนหลับดีขึ้น เพิ่มพลังสมอง ทำให้ฟันขาว และช่วยบำรุงเหงือ ปัจจุบันแพทย์เชื่อว่าน้ำยาบ้วนปากมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อมีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากมีการวิจัยพบว่า เชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคเหงือกนั้นสามารถเล็ดลอดเข้าสู่กระแสเลือด และกระตุ้นให้เกิดการอุดตันที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจพิบัติและหลอดเลือดในสมองแตก / ตีบ

        น้ำสมุนไพรที่ใช้กลั้วคอและบ้วนปากจะขจัดเสมหะและเซลล์เสื่อมสภาพที่ระคายเคืองช่องปากและลำคอ ส่วนผสมต่างๆ ในน้ำยาจะช่วยสมานเนื้อเยื่อที่อักเสบ จึงบรรเทาเนื้อเยื่อส่วนที่ระคายเคืองจากอากาศแห้งหรือมลภาวะ ซึ่งอาจได้รับมาจากกิจกรรมสนุกๆ อย่างการตะโกนเชียร์ฟุตบอล

        การทำน้ำสมุนไพรกลั้วคอนั้นไม่ยุ่งยาก ของที่ต้องใช้ก็มีแค่น้ำร้อนและส่วนผสมสมุนไพรซึ่งอาจมีอยู่แล้วในบ้านคุณ

บรรเทาอาการเจ็บคอ
        ตำรับยารักษาอาการเจ็บคอ สูตรที่ใช้ได้ผลคือ น้ำมะนาวผสมน้ำ ใช้น้ำมะนาวคั้น 1 ช้อนชา ผสมน้ำร้อน 1 ถ้วย น้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นยาฝาด สมานช่วยรักษาเนื้อเยื่อที่บวม และยังเป็นกรด ช่วยขจัดไวรัสและแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังมีสูตรที่ทำได้ง่ายๆ คือ น้ำเกลือ ใช้เกลือ ¼ ช้อนชา ผสมกับน้ำร้อน 1 ถ้วย และเติมลิสเตอรีนลงไป 1 ช้อนโต๊ะ เพื่อฆ่าเชื้อโรค

        สมุนไพรกลั้วคอยังมีอีกหลายสูตร สูตรหนึ่งที่ได้ผลคือ ขิงผสมมะนาวและน้ำผึ้ง วิธีทำคือ เทน้ำร้อน ½ ถ้วยลงในขิงผง 1 ช้อนชา เติมน้ำมะนาวคั้นครึ่งลูก และน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา แล้วใช้กลั้วคอ ขิงนั้นมีฤทธิ์ต้านอักเสบ ส่วนน้ำผึ้งจะช่วยเคลือบลำคอ และยังเป็นยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ ด้วย สมุนไพรไทยอย่างตะโก ก็บรรเทาอาการเจ็บคอได้ดี โดยนำเปลือกและผลตะโกแก่มาต้มใช้เป็นยาอมกลั้วคอ

        สมุนไพรอีกอย่างหนึ่งที่มีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อโรค เช่นกันคือ โกลเดนซีล (ทิงเจอร์โกลเดนซีล 1 ½ ช้อนชา ผสมน้ำ 250 มล.) โดยจะเยียวยาเนื้อเยื่อที่อักเสบและฆ่าไวรัสกับแบคทีเรียในลำคอ


ขจัดอาการจุกเสียด
        ถ้ามีอาการจุกเสียดเป็นบางครั้ง การบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออาจช่วยได้ (เกลือ ¼ ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1 ถ้วย) น้ำเกลือจะช่วยชะล้างกรดจากกระเพาะอาหารที่ขึ้นมาถึงลำคอ และทำให้มีสภาพเป็นกลาง ลดอาการแสบในคอ และช่วยให้เนื้อเยื่อที่ระคายเคืองฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณมีอาการจุกเสียดเรื้อรัง ควรไปพบแพทย์ เพราะคุณอาจมีแผลในกระเพาะอาหารหรือกล้ามเนื้อหูรูดที่กระเพาะอาหารบกพร่อง ทำให้น้ำย่อยไหลย้อนกลับขึ้นมาและทำให้หลอดอาหารระคายเคือง

กำจัดเชื้อโรค
        ถึงจะดูแลเหงือกและฟันอย่างดี แต่ในปากนั้นยังเป็นที่อาศัยของแบคทีเรียนับล้าน แบคทีเรียเหล่านี้จะปล่อยของเสียที่ทำให้เกิดกลิ่นปากและคราบหินปูน ซึ่งจะเกาะแน่นกับเหงือกและฟัน ถ้าแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันแล้วยังไม่ได้ผล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของน้ำและไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 3% อย่างละครึ่ง ถ้าต้องการใช้ยาฆ่าเชื้อที่แรงกว่านี้ อาจใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีคลอเฮกซิดีน (chlohexidine) แต่ยาบ้วนปากชนิดนี้เป็นยาควบคุมที่ต้องมีทันตแพทย์เป็นผู้จ่ายยาให้ และควรใช้แค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น

ต่อสู้กับไวรัสหวัด
        ถ้ามีอาการจามและคัดจมูกเหมือนจะเป็นหวัด กลั้วคอด้วยน้ำผสมซอสพริกหรือซอสทาบาสโก รสเผ็ดร้อนของซอสจะช่วยทำให้คอและจมูกโล่ง แต่ถ้าคุณทนเผ็ดไม่ไหว ลองใช้เอคิเนเซียแทนก็ได้ เพราะสมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อไวรัส ใช้ทิงเจอร์เอคิเนเซีย 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำ 1 ถ้วย ใช้กลั้วคอและบ้วนปากวันละ 3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ และยังเพิ่มพลังภูมิคุ้มกันให้สู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น

หลอดลมอักเสบ
        วิธีที่ดีที่สุดคือหยุดใช้เสียงสักพักและดื่มน้ำมากขึ้น แต่คุณอาจเร่งให้หายเร็วขึ้นโดยใช้น้ำยากลั้วคอจากเมิรห์ (ทิงเจอร์เมิรห์ 1 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 ถ้วย) สมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์ฝาดสมานจึงรักษาอาการอักเสบได้ดีและยังเป็นยาฆ่าเชื้อด้วยใช้ส่วนผสมนี้กลั้วคอวันละ 6 ครั้ง

เพื่อลมหายใจสดชื่น
        กลิ่นปากนั้นแม้ไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่มีผลต่อบุคลิกภาพของคุณไม่น้อย กานพลูช่วยกำจัดกลิ่นปากได้ เพราะมีน้ำมันหอมระเหยที่มีสารออกฤทธิ์หลายชนิด รวมทั้งยูจินอล (eugenol) ซึ่งฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปากได้ ใช้ดอกกานพลูแห้งทุบพอแหลกสัก 1-2 ช้อนชา แช่ในน้ำร้อน 1 ถ้วย แล้วใช้ชากานพลูนี้กลั้วคอและบ้วนปาก อีกวิธีถือ ใช้ดอกกานพลูแห้ง 2-3 ดอก อมไว้ในปากสักพักแล้วคายทิ้ง นอกจากกานพลูแล้ว ใบฝรั่งก็ใช้ได้เช่นกัน เพราะมีสารแทนนิน (tannin) ที่ฆ่าแบคทีเรียได้หลายชนิด หลังอาหารให้เคี้ยวใบฝรั่ง 2-3 ใบแล้วคายทิ้ง

เกร็ดควรรู้
o   ควรทำน้ำยาบ้วนใหม่ทุกครั้งที่ใช้ การเก็บส่วนที่เหลือไว้ใช้ครั้งต่อไป อาจเสี่ยงต่อการปนเปื้อนแบคทีเรีย

o   ควรใช้น้ำร้อนทำน้ำยาบ้วนปาก น้ำยาบ้วนปากเย็นๆ มักไม่ได้ผล

o   อย่ากลืนน้ำยาบ้วนปาก เมื่อกลั้วคอแล้วต้องบ้วนทิ้งทันที


วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ขนคุดและปัญหาจากการโกน


·โรคและอาการ
        เมื่อคุณโกนหนวดและขนออกจากร่างกาย คุณได้โกนเอาเซลล์ชั้นบนของผิวออกไปด้วย เมื่อไม่มีผิวหนังชั้นนอกปกป้อง ผิวชั้นในก็จะแห้งและระคายเคืองได้ง่าย การโกนขนเร็วเกินไปหรือโกนไม่ถูกวิธีอาจบาดเจ็บ และคนที่มีขนดกหรือขนหยิกก็มักมีปัญหาในการโกนขน สำหรับผู้หญิงนั้น การโกนขนรักแร้และหน้าแข้งก็อาจทำให้เกิดปัญหาเดียวกันได้ นอกจากทำให้ผิวหนังระคายเคืองแล้วยังอาจทำให้เกิดขนคุด ซึ่งทำให้มีอาการเจ็บตามมา นอกจากนี้การโกนขนชิดเกินไป ก็อาจทำลายรูขุมขน หรือทำให้ขนงอกย้อนกลับและแทงลงไปในรูขุมขนด้วย

ปฏิบัติการกำจัดขน
o   หากมีขนคุดแทงเข้าไปในผิวหนัง คุณสามารถกำจัดมันได้โดยวิธีการต่อไปนี้ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อน แล้วนำมาประคบบริเวณนั้นประมาณ 5 นาที เพื่อให้ขนอ่อนนุ่มลง จากนั้นใช้คีมหรือแหนบถอนขนค่อยๆ ดึงปลายขนออกมาจากผิวหนัง เสร็จแล้วจึงใช้กรรไกรตัดขนจมูกเล็มขนส่วนที่หงิกงอ

อุปกรณ์การโกน
o   หากคุณยังมีขนคุดอยู่บ่อยๆ บางทีการเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้โกนอาจช่วยได้ หากคุณใช้มีดโกนอยู่ ให้เปลี่ยนไปใช้ที่โกนหนวดไฟฟ้า แต่ถ้าเดิมคุณใช้เครื่องโกนหนวดไฟฟ้า ก็ให้เปลี่ยนมาใช้มีดโกนแทน
o   ทุกวันนี้มีมีดโกนหนวดหลายยี่ห้อที่ทำเป็นใบมีดคู่ หรือใบมีด 3 ชั้น เพื่อให้โกนได้ชิดผิวหนังมากขึ้น แต่หากต้องการป้องกันการเกิดขนคุด การใช้มีดโกนเดี่ยวแบบดั้งเดิมจะได้ผลดีกว่า มีดโกนสองชั้นมักจะดึงตอขนออกมาจากผิวหนังก่อนที่จะตัดขนออก ทำให้ขนดีดกลับเล้กน้อย และอาจงอกฝังเข้าไปใต้ผิวหนัง
o   หากขนคุดแล้วทำให้เกิดการติดเชื้อ และคุณใช้เครื่องโกนหนวดไฟฟ้า ให้คุณเปลี่ยนใบมีดที่ใช้เพื่อเร่งให้การรักษาหายเร็วขึ้น เพราะจะช่วยป้องกันการติดเชื้อซ้ำได้ แต่หากคุณจำเป็นต้องใช้ใบมีดเดิมอีก ควรฆ่าเชื้อเสียก่อนด้วยน้ำยาล้างแผล

ดูแลผิวของคุณ
o   ก่อนโกนขน ให้ใช้ใยบวบ หรือถุงมืออาบน้ำ ฟองน้ำ หรือผ้าขนหนูถูเร็วๆ ที่บริเวณนั้น วิธีนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วซึ่งอาจอุดตันรุขุมขนอยู่ จึงช่วยดึงขนออกมาจากรูขุมขนด้วย

อยู่ที่วิธีโกน
o   โกนตามน้ำ คือ โกนไปในทิศทางเดียวกับที่ขนงอกขึ้นมา เช่น เมื่อโกนเครา ให้โกนลงแทนที่จะโกนขึ้น เมื่อผู้หญิงโกนขนหน้าแข้งหรือในจุดอื่นๆ ก็ควรใช้วิธีเดียวกัน คือโกนลงแทนที่จะโกนขึ้น แม้ว่าวิธีนี้จะทำให้ไม่สามารถโกนขนได้เกลี้ยงเกลาติดผิวหนัง แต่เป็นการทำให้ไม่ตัดขนสั้นเกินไปจนงอกแทงเข้าไปในผิวหนัง
o   เมื่อจะโกนขนรักแร้ อย่าดึงหนังให้ตึงก่อนโกนขน การดึงหนังให้ตึงแล้วโกนขนจะทำให้ขนยื่นออกมาจากรากเล็กน้อย เมื่อคุณโกนปลายไปแล้วส่วนที่เหลือก็จะถูกดึงกลับลงไปใต้ผิวหนังอีก ในกรณีของผู้ชายก็เช่นกัน ไม่ควรดึงหน้าให้ตึงเวลาโกนหนวด

กำจัดสิ่งกีดขวาง
o   เบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) ซึ่งเป็นส่วนผสมในครีมแก้สิวนั้นสามารถกำจัดรอยนูนจากการโกนขนได้
o   ใช้โลชั้นที่มีส่วนผสมของกรดอัลฟาไฮดรอกซีหรือเอเอชเอ (alphahydroxy acid : AHA) ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและลดจำนวนขนที่ติดอยู่ใต้ผิวหนังด้วย ทาโลชั้นเอเอชเอทุกเช้าและเย็นตรงผิวหนังส่วนที่คุณต้องโกนเป็นประจำ อย่างไรก็ตามควรระวังไว้ด้วย เพราะเอเอชเออาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ โดยเฉพาะเมื่อผิวหนังเปียกชื้น ดังนั้นเมื่อเริ่มใช้เอเอชเอ ควรใช้คืนเว้นคืนจนกว่าจะแน่ใจว่าคุณไม่แพ้เอเอชเอ
o   ลดการอักเสบโดยทาครีมที่มีสเตียรอยด์ชนิดทา คือ สารไฮโดรคอร์ติโซน (hydrocortisone) โดยควรทำตามคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัด (ระวังไม่ควรใช้ครีมสเตียรอยด์กับผิวหน้า ถ้าต้องใช้ ควรเลือกชนิดที่มีสเตียรอยด์น้อยที่สุด คือมี ไฮโดรคอร์ติโซน 1% และใช้ในระยะสั้นเท่านั้น)


วิธีที่ไม่ควรทำ
o   ไม่ควรโกนขนให้ชิดผิวหนัง เพราะจะเสี่ยงต่อการเกิดขนคุด
o   ผู้หญิงบางคนไม่ใช้วิธีโกนขน แต่เลือกใช้โลชั่นหรือครีมกำจัดขนแทน ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายแล้วเช่นกัน เมื่อจะใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และใช้ได้ไม่เกินสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อป้องกันผิวระคายเคือง

บรรเทาผื่นจากการโกน
o   ว่านหางจระเข้ เป็นตัวยาจากธรรมชาติที่รักษาการระคายเคืองหรือแผลที่ผิวหนังได้ดี หากคุณมีต้นว่านหางจระเข้ในกระถางแล้ว ก็แค่เด็ดใบมา กรีดเอาแต่วุ้นใสๆ มาทาผิวได้เลย หรืออาจใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารสกัดจาก ว่านหางจระเข้ก็ได้ ควรเป็นเจลที่ใช้ว่านหางจระเข้ 100%
o   อะโวคาโด นั้นอุดมด้วยวิตามินและน้ำมันพืชที่ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น คุณอาจใช้อะโวคาโดบดโปะลงไปที่แผลก็ได้
o   แตงกวา นั้นขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณในการรักษาโรคผิวหนังมานานแล้ว วิธีใช้ คือฝานแตงกวาชิ้นบางๆ มาวางไว้บริเวณผิวส่วนที่เกิดการระคายเคือง หรืออาจปอกเปลือกแตงกวาออก นำมาปั่น และใช้โปะลงไปบนผิวที่ระคายเคือง นอกจากนี้คุณอาจใส่อะโวคาโดลงไปปั่นพร้อมกันเลยก็ได้
o   ใช้ครีมคาเลนดูลา (calendula) ถูนวดบริเวณที่มีอาการ ครีมที่ผสมสารสกัดจากคาเลนดูลานี้ช่วยรักษาผิวที่เสียหายและรอยจากการโกนหนวดได้

จัดการมีดโกนของคุณ
o   ป้องกันรอยจากการโกนโดยเปลี่ยนใบมีด หลังจากใช้มาแล้ว 3-4 ครั้ง ถ้าใบมีดโกนทื่อเพียงเล็กน้อย คุณอาจกดมีดแรงขึ้น ทำให้ยิ่งระคายเคืองมากขึ้น สำหรับมีดโกนแบบใช้แล้วทิ้งนั้นไม่ควรใช้ซ้ำกันเกิน 3 ครั้ง และหากคุณมีขนหนาและแข็ง ควรทิ้งมีดโกนไปเลยหลังจากที่ใช้ครั้งแรก
o   ควรใช้สลับกันระหว่างการโกนหนวดแบบดั้งเดิมกับการโกนหนวดด้วยเครื่องโกนหนวดไฟฟ้า โดยใช้วิธีหนึ่งไปสัก 1 เดือน จากนั้นเปลี่ยนไปใช้อีกวิธีหนึ่งในเดือนถัดมา แม้แพทย์ผิวหนังยังไม่ทราบเหตุผลแน่ชัด แต่พบว่าการสลับไปมาระหว่าง 2 วิธีนี้ลดการเกิดรอยจากการโกนหนวดได้

ผิวชื้นและหนวดนุ่ม
o   หากคุณโกนหนวดโดยใช้มีด ขั้นแรกต้องทำให้ผิวและหนวดเปียกเสียก่อน ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น แล้วนำมาประคบบนใบหน้าสัก 10 นาทีก่อนจะโกนหนวด เมื่อผิวเปียกและขนยืดตรงแล้ว คุณก็จะโกนหนวดหรือขนได้ง่ายขึ้น (หากคุณใช้เครื่องโกนหนวดไฟฟ้า ต้องใช้วิธีที่ตรงกันข้าม คือต้องโกนทั้งที่หนวดและผิวของคุณแห้งสนิทเท่านั้น)
o   ใช้ครีมโกนหนวดที่เหมาะสม ควรเลือกชนิดที่ออกแบบมาสำหรับผิวแพ้ง่าย ถ้ามีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ด้วยจะยิ่งดี ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมน้ำหอมหรือมีเบนซอลล์เปอร์ออกไซด์ (benzoly peroxide) หรือมีสารเมนทอล (menthol) เพราะสารเหล่านี้อาจทำผิวระคายเคือง นอกจากนี้ไม่ควรใช้สบู่ทาก่อนโกนขน เพราะครีมหรือเจลโกนขนจะหนากว่าและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังมากกว่า
o   ไม่ควรใช้น้ำหอมหลังโกนหนวด หรืออาฟเตอร์เชฟเพราะมักมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่มาก แอลกอฮอล์จะทำให้ผิวแห้งและทำให้ผิวถลอกมากขึ้น มีบางคนใช้วิตช์เฮเซล (witch hazel) แทน เพราะมีแอลกอฮอล์น้อยกว่าและยังช่วยบำรุงผิวด้วย นอกจากนี้หากคุณบังเอิญทำมีดบาดตัวเอง วิตซ์เฮเซลจะช่วยเป็นยาฆ่าเชื้อด้วย

เมื่อใดควรพบแพทย์
        แพทย์มักไม่สนใจปัญหาขนคุด หรือบาดแผลจากการโกนหนวดนัก อย่างไรก็ตามหากคุณโกนขนแล้วเกิดผื่นอย่างรุนแรงโดยรักษาเองแล้วไม่หายสักที บางทีอาจเป็นเพราะคุณแพ้ครีมหรือเจลโกนหนวด หรือเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา ในกรณีนี้คุณควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษา และหากการเกิดขนคุดมีอาการปวดและบวมมาก แสดงว่าอาจเกิดการติดเชื้อ คุณควรไปพบแพทย์เพื่อรับยาปฏิชีวนะ

ข้อควรระวัง
        การแว๊กซ์ขนอาจเป็นวีดีที่สุดในการกำจัดขนในที่ลับหรือขนที่หน้าแข้งได้อย่างประณีต แต่คงไม่ดีนักหากคุณมีแนวโน้มจะเป็นขนคุดหลังจากแว๊กซ์ขนแล้ว ขนที่เกิดใหม่มักงอกขึ้นมาเอียงๆ แทนที่จะขึ้นมาตรงๆ นอกจากนี้ยังอาจงอกย้อนกลับลงไปในผิวหนังด้วย

ของที่ทดแทนกันได้
        ถ้าเช้านี้คุณตื่นมาแล้วพบว่าครีมโกนหนวดหมดเกลี้ยงเสียแล้ว มีสิ่งของมากมายที่คุณสามารถนำมาใช้ทดแทนได้พลางๆ ก่อน สิ่งที่จะแนะนำต่อไปนี้ล้วนแล้วแต่ผ่านการทดลองใช้ ทดสอบ และพบว่าใช้ได้ผลดีทีเดียว มีหลายชนิดที่มีส่วนประกอบพื้นฐานเป็นน้ำมันจึงให้ความชุ่มชื้นและปกป้องผิวหนังของคุณได้ มาดูสิว่ามีอะไรบ้างที่คุณสามารถนำมาใช้แทนครีมโกนหนวดได้บ้างในยามฉุกเฉิน
o   ชีสสเปรด
o   ครีมนวดผม
o   ยาสีฟัน
o   วิปครีม
o   เนยถั่วชนิดบดละเอียด
o   เนย
o   ครีมบำรุงผิว
o   มายองเนส
o   น้ำมันทำอาหาร


วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เกาต์


·  โรคและอาการ
        ตามปกติตับจะผลิตกรดยูริกออกมาแล้วจะกำจัดออกทางปัสสาวะ แต่ถ้าร่างกายมีกรดยูริกสะสมอยู่มากเกินไป จะเกิดก้อนผลึกคมๆ ในไขข้อ (ของเหลวกันกระแทกตามข้อต่างๆ ในร่างกาย) คุณจะรู้สึกเหมือนมีเศษแก้วแตกบดเบียดอยู่ในข้อ เรียกอาการข้ออักเสบนี้ว่า “เกาต์” เกาต์มักเกิดกับชายอายุเกิน 40 ปี (ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่ผลึกกรดยูริกจะเกิดการสะสม) ส่วนใหญ่แล้วเกาต์จะเกิดกับข้อหัวแม่เท้า แต่ก็เกิดได้กับข้อมือ หัวเข่า ข้อศอก และข้อบริเวณอื่นได้ นอกจากจะเจ็บปวดแล้วเกาต์ยังทำให้ข้อบวมด้วย

เอนหลังและประคบน้ำแข็ง
o   เมื่อโรคเกาต์กำเริบควรพยายามนอนลง และยกข้อที่ปวดให้สูงขึ้น เรื่องนี้อาจไม่เป็นปัญหา เพราะเมื่ออาการเกาต์กำเริบคุณอาจยกผ้าสักผืนไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ
o   ถ้าพอทนได้ ให้ประคบน้ำแข็งสัก 20 นาที ความเย็นจะทำให้ชาบริเวณที่ปวด และลดบวมด้วย ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งไว้เพื่อปกป้องผิวหนัง ประคบเย็น วันละ 3 ครั้ง ทำติดต่อกัน 2-3 วัน

กินเชอร์รี่
o   เชื่อกันว่าผลเชอร์รี่มีสรรพคุณรักษาเกาต์ได้ เชอร์รี่มีสารที่ช่วยทำให้กรดยูริกในเลือดมีสภาพเป็นกลาง และยังมีสารต้านอักเสบ ทั้งเชอร์รี่สดและแห้งให้ผลเท่าๆ กัน เมื่อรู้สึกว่าอาการกำลังจะกำเริบ ให้กินเชอร์รี่สัก 1-2 กำมือ ถ้าไม่มีผลสด ก็กินเชอร์รี่กระป๋องแทน มีการศึกษาบ่งชี้ว่า การกินเชอร์รี่ 20 ลูก จะลดปวดได้เท่ากับยาแอสไพริน 1 เม็ด
o   ถ้าไม่ชอบเชอร์รี่ ผลไม้ในตระกูลเดียวกันอย่างสตรอว์เบอร์รี่และราสป์เบอร์รี่ก็ให้ผลคล้ายกัน แต่ต้องกินปริมาณมากกว่าเชอร์รี่

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรักษาเกาต์
o   กินน้ำมันปลาหรือน้ำมันปอ (flaxseed oil) เป็นประจำทุกวันจะช่วยลดอาการข้ออักเสบ น้ำมันทั้งสองชนิดนี้อุดมด้วยกรดไอโคซาเพนทาอีโนอิกหรืออีพีเอ (icosapentaenoic : EPA) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอักเสบ กินน้ำมันปอวันละ 1-3 กรัม (น้ำมันปอ 1 กรัมประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ) ควรใช้ในรูปน้ำมันแทนที่จะกินแบบแคปซูล เพราะคุณต้องใช้มากกว่า 12 แคปซูลจึงจะได้น้ำมันปอ 1 ช้อนโต๊ะ ส่วนน้ำมันปลานั้นควรกินให้ได้ 6,000 มก. ต่อวัน โดยจะใช้แบบแคปซูลหรือน้ำมันก็ได้ (ระวัง ถ้ากินในปริมาณมาก ควรเลือกน้ำมันปลา ไม่ใช่น้ำมันตับปลาหรือน้ำมันตับปลาค้อด ซึ่งแม้จะมีสารต้านอักเสบปริมาณที่อดี แต่จะมีวิตามินเอและวิตามินดีมากเกินไป)
o   เซเลอรี่สดหรือสารสกัดเมล็ดเซเลอรีชนิดเม็ด จะช่วยลดกรดยูริกได้ปริมาณที่แนะนำคือวันละ 2-4 เม็ด
o   ใบเนตเทิลเป็นยารักษาข้ออักเสบที่ชาวตะวันตกใช้กันมานาน โดยจะช่วยลดกรดยูริก ปัจจุบันมีการผลิตในรูปสารสกัดโดยทำให้แห้งด้วยความเย็น ขนาดที่ใช้คือ วันละ 300-600 มก. แต่ไม่ควรกินติดต่อกันเกิน 3 เดือนในแต่ละครั้ง (ระวัง อย่าใช้ชนิดทิงเจอร์ เพราะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ซึ่งทำให้เกาต์กำเริบ) เนตเทิลสามารถใช้ทาภายนอกได้ด้วย โดยแช่ผ้าสะอาดในน้ำต้มใบเนตเทิลแล้วนำมาปิดทับข้อที่ปวด

ดื่มน้ำและงดดื่มเบียร์
o   ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว (ขนาด 250 มล.) จะช่วยกำจัดกรดยูริกส่วนเกินออกจากร่างกาย นอกจากนี้น้ำยังลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตซึ่งจะยิ่งทำให้อาการเกาต์กำเริบหนักขึ้น
o   ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะดูเหมือนแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายผลิตกรดยูริกมากขึ้นและขัดขวางการขจัดกรดยูริก โดยเฉพาะเบียร์ซึ่งมีสารพิวรีนมากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่น

ตรวจสอบยาที่กิน
o   สำหรับผู้ที่ต้องกินยาขับปัสสาวะเป็นประจำ เช่น ผู้เป็นความดันเลือดสูง ควรปรึกษาแพทย์ดูว่าสามารถใช้ยาอื่นแทนได้หรือไม่ เพราะยาขับปัสสาวะจะขจัดของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกาย ทำให้ปริมาณกรดยูริกที่ผ่านเข้าไปในปัสสาวะลดลงด้วย จึงเหลือกรดยูริตกค้างอยู่ในร่างกายมากขึ้น และทำให้คนที่เป็นโรคเกาต์อาการแย่ลง
o   บางครั้งเกาต์ถูกกระตุ้นด้วยกรดไนอะวินหรือกรดนิโคตินิก ซึ่งแพทย์อาจสั่งให้กับผู้ที่คอเลสเตอรอลสูง ถ้าคุณกินยานี้อยู่ ลองปรึกษาแพทย์ว่าใช้ยาอื่นแทนได้หรือไม่

อย่าอดอาหาร
o   การลดน้ำหนึกช่วยป้องกันโรคเกาต์ได้ก็จริง แต่การลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน หรือการอดอาหารกลับเป็นผลเสีย เพราะเมื่อคุณอดอาหาร เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะปล่อยกรดยูริกออกมามากขึ้น คนที่น้ำหนักเกินควรลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป คือควรลดไม่เกิน 1 กก. ต่อสัปดาห์

เมื่อใดควรพบแพทย์
        ถ้าคุณเริ่มมีอาการบวมและเจ็บตามข้อ ให้รีบพบแพทย์เพราะอาจเป็นเกาต์หรือข้ออักเสบ แพทย์อาจใช้เข็มขนาดเล็กดูดของเหลวจากข้อมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ดูว่ามีผลึกกรดยูริกหรือไม่ แม้จะมียารักษาโรคเกาต์อยู่แต่ก่อนจะกินยา คุณควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่ากำลังใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดใดอยู่บ้าง เพราะยาหรือสารเสริมอาหารบางอย่างอาจยิ่งทำให้อาการกำเริบ

อาหารที่ต้องหลีกห่าง
        อาหารโปรตีนสูงและอาการที่มีสารพิวรีนจะเพิ่มกรดยูริกในร่างกาย ผู้ที่เป็นโรคเกาต์จึงต้องเลี่ยงอาหารเหล่านี้ ซึ่งได้แก่ เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ กุ้ง หอย ปู ปลาบางชนิด เช่น ปลาแอนโชวี ปลาซาร์ดีน และปลาเฮร์ริง รวมทั้งกะปิและน้ำพริกกะปิดด้วย นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงอาหารทอด คาร์โบไฮเดรขัดขาว (เช่น แป้งขัดขาว) ข้าวโอ๊ต อาหารที่มียีสต์เป็นส่วนผสม เช่น เบียร์และเบเกอรรีทั้งหลาย ผักบางชนิด เช่น หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วแระ ผักโขม และดอกกะหล่ำ


วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กลิ่นปาก

โรคและอาการ

        ถ้าคนถอยห่างเวลาคุณคุยด้วย หรือบอกตรงๆ ว่าคุณมีกลิ่นปาก สาเหตุที่เด่นชัดคือคุณเพิ่งกินอาหารที่เต็มไปด้วยหัวหอม กระเทียม หรือสะตอเข้าไป แต่ยังมีสาเหตุที่เป็นไปได้อีกหลายอย่าง เช่น สูบบุหรี่ หรือแปรงฟันน้อยเกินไป สาเหตุอื่นคือ โรคเหงือก ถ้าคุณมีฟันผุหรือเป็นไซนัส ก็มักมีอาการข้างเคียงคือมีกลิ่นปาก สาเหตุที่เป็นไปได้ยังมีอีก เช่น ยาบางชนิด การปล่อยให้ปากแห้งเป็นเวลานาน หรือการดื่มกาแฟมากเกินไป เป็นต้น

มาตรการฉุกเฉิน
o   ปากที่แห้งเป็นสวรรค์ของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นปาก จึงควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า เพราะน้ำจะกำจัดแบคทีเรียให้หลุดออกและช่วยให้ลมหายใจมีกลิ่นดีขึ้นบ้าง
o   ไม่ว่าจะเป็นมื้อเที่ยงทางธุรกิจหรือมือเย็นแสนโรแมนติก ให้จิ้มผักชีที่เหลือในจานมาเคี้ยว ผักชีอุดมด้วยคลอโรฟิลซึ่งมีคุณสมบัติต้านแบคทีเรียจึงช่วยลดกลิ่นปากได้
o   กินส้มสักลูก กรดซิตริกในส้มจะกระตุ้นต่อมน้ำลายให้หลังน้ำลายออกมา ทำให้ลมหายใจสดชื่นขึ้น
o   ถ้าไม่มีส้มก็กินอาหารที่มีอยู่ ยกเว้นอาหารที่ทำให้มีกลิ่นปาก เช่น กระเทียม หัวหอม หรือสะตอ การกินอาหารจะกระตุ้นให้มีน้ำลายในปาก และขจัดสิ่งที่ก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ซึ่งติดค้างอยู่บนลิ้น
o   งอลิ้นมาขูดกับฟันบน ลิ้นมีแบคทีเรียซึ่งทำให้โปรตีนบูดเคลือบอยู่ จึงเกิดแก๊สมีกลิ่นเหม็น การขูดลิ้นทำให้แบคทีเรียหลุดออก จากนั้นก็บ้วนปากด้วยน้ำเปล่า
o   ถ้ามีโลหะหรือช้อนอยู่ใกล้มือก็นำมาใช้ขูดลิ้นได้ การขูดลิ้นอย่างปลอดภัย ให้วางช้อนบนลิ้นด้านบนแล้วลากช้อนออกมาด้านหน้า ขูด 4-5 ครั้ง จากนั้น ขูดข้างลิ้นด้วยวิธีการเดียวกัน แต่ระวังอย่าวางช้อนให้ลึกเข้าในปากเกินไป เพราะอาจทำให้รู้สึกขย้อนอยากจะอาเจียนได้

ดับกลิ่นด้วยเครื่องเทศ
o   กานพลูกมีสารยูจินอล (eugenol) ซึ่งมีฤทธิ์ขจัดแบคทีเรีย หยิบกานพลูสักดอกเข้าปากแล้วเคี้ยว น้ำมันหอมระเหยในกานพลูกจะระเหยออกมา เคี้ยวจนกระทั่งน้ำมันหอมระเหยแผ่ซ่านในปากแล้วจึงคายทิ้ง ห้ามใช้น้ำมันกานพลู หรือดอกกานพลูบดแห้งเนื่องจากจะแรงเกินไป ปากอาจจะไหม้ได้
o   เคี้ยวเมล็ดเฟนเนล (fennel) เมล็ดดิลล์ (dill) หรือเมล็ดผักชีซึ่งมีรสคล้ายชะเอม เมล็ดผักชีจะฆ่าแบคทีเรียที่เจริญเติบโตอยู่บนลิ้น ส่วนเมล็ดเฟนเนลและดิลล์จะช่วยปกปิดกลิ่นปากได้ดี
o   ดูดอบเชยสักชิ้น อบเชยมีฤทธิ์ขจัดแบคทีเรียเช่นเดียวกับกานพลู

เลือกน้ำยาบ้วนปากให้เหมาะ
o   น้ำยาบ้วนปากส่วนใหญ่โฆษณาว่าช่วยให้ปากหอมสดชื่น แต่มีน้อยมากที่จะได้ผลดีในระยะยาว แต่ดูเหมือนว่าน้ำยาบ้วนปากผสมคลอรีนไดอ๊อกไซด์ (chlorine dioxine) เช่น Eliminator Mouthwash (ซื้อได้ทางอินเตอร์เน็ต) สามารถขจัดสารประกอบซัลเฟอร์ที่ทำให้ลมหายใจมีกลิ่นเหม็นได้
o   ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของน้ำมันทีทรี (tea tree oil) ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้อโดยธรรมชาติ ถ้าคุณหายาสีฟันชนิดนี้ไม่ได้ตามร้านขายยา ให้ลองมองหาตามร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ตัดไปตั้งแต่ต้นลม
o   ใช้เครื่องฉีดน้ำในปาก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ฉีดละอองน้ำเข้าไปในปากเพื่อชำระล้างแบคทีเรียที่ติดค้าง จึงล้างแบคทีเรียได้ลึกกว่าการใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงสีฟัน
o   พกแปรงสีฟันติดตัวและแปรงฟันหลังอาหารทุกมือ การแปรงฟันช่วยยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ที่เคลือบเหงือกและฟัน แต่ไม่ควรแปรงฟันทันทีหลังจากกินอาหารที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เช่น เครื่องดื่มโคล่าหรือผลไม้รสเปรี้ยว เพราะจะไปทำให้เคลือบฟันเสียหายได้ ในกรณีนี้ ควรแปรงฟันหลังจากกินอาหาร 1 ชั่วโมง
o   พกหมากฝรั่งติดกระเป๋าไว้ การเคี้ยวหมากฝรั่ง โดยเฉพาะหลังจากมื้ออาหารช่วยกระตุ้นให้เกิดน้ำลายมาชำระเศษอาหารตกค้างในปาก
o   วิธีเก็บแปรงสีฟันให้ปลอดแบคทีเรีย คือ เก็บเอาด้านแปรงลงแช่ในกล่องพลาสติกมีฝาปิด ภายในบรรจุไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (hydrogen peroxide) เมื่อจะใช้ ต้องล้างแปรงให้สะอาดก่อนทุกครั้ง
o   ถ้าคุณใส่ฟันปลอม ฟันปลอมอาจเป็นตัวสะสมกลิ่นไม่ดีในปาก ในตอนกลางคืนให้แช่ฟันปลอมไว้ในน้ำยาฆ่าเชื้อเสมอ เว้นแต่ทันตแพทย์ของคุณระบุให้เก็บฟันปลอมด้วยวิธีอื่น
o   อย่าอดอาหาร เวลาที่คุณปล่อยให้ท้องว่างนานๆ ปากคุณจะแห้งมากกลายเป็นแหล่งเพาะแบคทีเรีย
o   ถึงแม้ไม่มีปัญหาเรื่องแบคทีเรียคุณก็อาจมีกลิ่นปากได้ สาเหตุอาจมาจากการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า กินหัวหอม กระเทียม และโดยเฉพาะชีสกลิ่นแรง เช่น กามองแบร์ หรือรอคฟอร์ต และบลูชีส หากคุณต้องการให้ลมหายใจมีกลิ่นหอม ก็ให้ยึดหลักปฏิเสธเด็ดขาด คือ ไม่สูบ ไม่ดื่ม และไม่กินอาหารที่ทำให้ปากเหม็น
o   ปรึกษาแพทย์ว่ามีตัวยาใดที่ทำให้ปากคุณมีกลิ่นเหม็นหรือไม่ ให้สงสัยยาที่ทำให้ปากแห้งและไม่มีน้ำลายในปากไว้ก่อน ซึ่งในจำนวนนี้มียาที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา เช่น ยาต้านฮิสตามีน ยาลดน้ำมูก ยาลดน้ำหนัก รวมทั้งยาที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาอาการซึมเศร้า รักษาข้ออักเสบรูมาตอยด์ และยาลดความดันเลือด

ข้อควรระวัง
        หลายคนเข้าใจผิดว่าน้ำยาบ้วนปากรสมินท์หรือลูกอมรสมินต์ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น ที่จริงน้ำยาบ้วนปากส่วนใหญ่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ จึงทำให้ในปากมีน้ำลายน้อย ซึ่งยิ่งทำให้ปากคุณมีกลิ่นแย่กว่าเดิม แม้กลิ่นของลูกอมรสมินต์จะช่วยได้ชั่วคราว แต่ที่จริงแล้วน้ำตาลในลูกอมจะยิ่งทำให้แบคทีเรียเติบโตมากขึ้น

เมื่อใดควรพบแพทย์
        คนปกติอาจมีกลิ่นปากบ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งการรักษาความสะอาดในช่องปากจะช่วยขจัดกลิ่นปากได้ แต่ถ้ากลิ่นปากไม่หายไปภายใน 24 ชั่วโมง นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณมีโรคเหงือก มึปัญหาเกี่ยวกับการย่อยอาหาร หรือโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่า ถ้าคุณแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันสม่ำเสมอแล้ว แต่กลิ่นปากยังมีอยู่ ก็ควรไปพบแพทย์หรือทันตแพทย์ ถ้าลมหายใจมีกลิ่นหวานหรือกลิ่นผลไม้ ก็ควรไปพบแพทย์ เช่นกัน เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าคุณเป็นโรคเบาหวาน

ทดสอบกลิ่นปากได้อย่างไร
        การทดสอบวิธีหนึ่งคือ ดมไหมขัดฟันที่คุณเพิ่งใช้เสร็จ แต่ต้องใช้ไหมชนิดไม่เคลือบแวกซ์และไม่มีรสชาติเท่านั้น หรืออีกวิธีคือ ใช้ผ้าขนหนูถูลิ้นแล้วลองดมดู ถ้าคุณกังวลว่าอาจมีกลิ่นปาก ให้ลองคุยกับทันตแพทย์ ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดในช่องปาก และตรวจดุว่ามีสาเหตุมาจากโรคเหงือกหรือการทำความสะอาดในช่องปากไม่เพียงพอ