เดิมทีธรรมชาติสร้างให้ร่างกายเรามีกลิ่นฉุนไว้ดึงดูดเพศตรงข้าม
แต่ปัจจุบัน คนที่กลิ่นกายรุนแรงอาจเป็นที่รังเกียจ
ต้นตอของกลิ่นกายมาจากเหงื่อบางชนิด ต่อมเอคครีน (Eccrine) จะหลั่งเหงื่อใสที่ไร้กลิ่นออกมา เมื่อเหงื่อนี้ระเหยจะทำให้รู้สึกเย็น
ส่วนต่อมอะโปครีน (Apocrine) ซึ่งมีมากบริเวณรักแร้และอวัยเพศ
จะหลั่งสารที่มักเป็นแหล่งอาศัยของแบคทีเรีย ทำให้เกิดกลิ่นฉุน
สาเหตุที่ต่อมอะโปครีนทำงานมากผิดปกติมีตั้งแต่ความเครียด ภาวะไข่ตก
ความต้องการทางเพศ ความโกรธ และโรคภัย ยาบางชนิด เช่น เวนลาแฟ็กซีน (venlafaxine) แก้ซึมเศร้า และบูโพรเพียน (bupropion) ที่หมดมักสั่งให้ผู้กำลังเลิกบุหรี่
ก็ทำให้เกิดกลิ่นตัว
ใช้สบู่ระงับกลิ่นกาย
o
ใช้สบู่ระงับกลิ่นกายหรือสบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำมันทีทรี
(tea
tree oil) หรือสบู่ล้างมือขจัดแบคทีเรียก็ได้
สบู่ประเภทนี้จะทิ้งสารขจัดแบคทีเรียไว้บนผิวหนังแม้คุณจะล้างสบู่ออกไปแล้ว ถ้าลองใช้แล้วผิวหนังไม่ระคายเคือง
ก็สามารถใช้ได้เป็นประจำทุกวัน แต่บางคนอาจรู้สึกว่าใช้แล้วผิวแห้ง
กรณีนี้ก็ให้ฟอกสบู่เฉพาะใต้วงแขนและบริเวณขาหนีบ
ซึ่งเป็นบริเวณที่มักก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์
o
ถ้าใช้สบู่ระงับกลิ่นกายแล้วยังไม่ได้ผล
มีอีกวิธีที่ได้ผลชะงัดกว่าคือ ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อนผ่าตัด เช่น ไฮบิสครับ (Hibiscrub) หรือเบตาดีน (Betadine)
ซึ่งมีขายตามร้านขายยาทั่วไป ยาเหล่านี้กำจัดแบคทีเรียได้ชะงัด
แพทย์จึงใช้ทำความสะอาดผิวหนังคนไข้ก่อนผ่าตัด แต่มักทำให้ผิวแห้งมาก
จึงควรใช้เฉพาะตอนอาบน้ำ เพื่อจะได้ล้างออกได้ทันที และใช้เฉพาะบริเวณที่เกิดกลิ่น
เช่น ใต้วงแขนและบริเวณขาหนีบเท่านั้น วิธีใช้คือบีบน้ำยาเล็กน้อย
ล้างบริเวณที่มีกลิ่น จากนั้นล้างออกทันทีและฟอกด้วยสบู่ธรรมดาอีกครั้ง
นอกเหนือจากสารระงับกลิ่นกาย
o
ในระหว่างวัน
ใช้ก้อนสำลีแต้มน้ำส้มสายชู นำมาเช็ดบริเวณใต้วงแขน
เพื่อลดปริมาณแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่น แต่ไม่ควรใช้หลังจากโกนขนเสร็จใหม่ๆ
เพราะจะแสบมาก
o
ใช้สารสร้มทาใต้วงแขน
สารส้มมีคุณสมบัติระงับกลิ่นได้นานถึง 10 ชั่วโมง
และสามารถทาหลังโกนขนใหม่ๆ ได้โดยไม่ระคายเคือง
o
ใช้สำลีก้อนจุ่มในวิตช์เฮเซล
(witch
hazel) แล้วนำมาถูใต้วงแขน
หรือแต้มวิตช์เฮเซลลงบนผิวหนังโดยตรงเลยก็ได้ วิธีนี้ใช้ได้บ่อยเทาที่ต้องการ
วิตช์เฮเซลจะทำให้รู้สึกเย็นสดชื่น กลิ่นสะอาด
นอกจากทำให้ใต้วงแขนแห้งดีแล้วยังช่วยระงับกลิ่นด้วย
o
ทาเบคกิ่งโซดาหรือแป้งข้าวโพดบริเวณที่มีกลิ่น
แป้งทั้งสองชนิดนี้ดูดซับความชื้นได้ดี
เบคกิ้งโซดายังช่วยฆ่าแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นด้วย
o
โกนขนเป็นประจำ
เนื่องจากขนรักแร้จะยิ่งทำให้กลิ่นกายรุนแรงขึ้น เพราะจะกักเหงื่อและแบคทีเรียไว้
o
เปลี่ยนเสื้อทุกวัน
อย่าใส่เสื้อผ้าซ้ำโดยไม่ได้ซัก ถ้าอากาศร้อนคุณอาจต้องเปลี่ยนเสื้อระหว่างวัน
สมุนไพรช่วยได้
ตำรับยาต่อไปนี้สามารถใช้ทาใต้วงแขนได้
แต่ไม่ควรใช้กับบริเวณขาหนีบ
o
น้ำมันทีทรี
นอกจากมีกลิ่นหอมแล้ว ยังสามารถใช้ทาผิวหนังเพื่อกำจัดแบคทีเรีย
แต่ถ้ารู้สึกระคายเคืองต้องหยุดใช้ทันที
o
น้ำมันสกัดจากดอกลาเวนเดอร์
ลูกสน และเป็ปเปอร์มิ้นต์ ช่วยขจัดแบคทีเรียได้เช่นกัน
แต่ผิวหนังของบางคนอาจระคายเคือง จึงควรลองทดสอบดก่อนใช้
o
เสจ (sage) เป็นสมุนไพรกลิ่นหอม มีคุณสมบัติฆ่าแบคทีเรียและลดเหงื่อ
มีขายในรูปทิงเจอร์หรือน้ำมันหอมตามร้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
หลังจากทาเสจแล้วควรล้างมือก่อนสัมผัสใบหน้า
o
ใช้น้ำมะนาวทาผิวหนังบริเวณที่ก่อให้เกิดกลิ่นแล้วรอให้แห้งก่อนสวมเสื้อผ้า
ผลไม้รสเปรี้ยวอย่างมะนาวสามารถเปลี่ยนสภาพความเป็นกรดด่างของผิวหนังของคุณ
ทำให้ผิวหนังเป็นกรดมากขึ้น และขัดขวางการเติบโตของแบคทีเรีย
กินผักเพื่อกลิ่นสะอาด
o
กินพืชผักใบเขียว เช่น
ผักโขม ผักคะน้า เพราะอุดมด้วยสารคลอโรฟิลที่มีคุณสมบัติระงับกลิ่นกาย
o
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคลอโรฟิลชนิดเม้ด
ส่วนใหญ่จะสกัดจากพืช เช่น สาหร่ายทะเล (เคลป์) ใบข้าวบาร์เลย์
หรือสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน
คุณสามารถซื้อมากินได้โดยต้องปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัด
o
กินผักชีสดๆ
ผักชีมีคุณสมบัติระงับกลิ่น อีกวีคือทำชาผักชี โดยนำผักชีสดมาสับให้ละเอียด
แช่ในน้ำเดือด 1 ถ้วย 5 นาที
รอให้เย็นแล้วจึงดื่ม
o
ชาไลม์ (lime
tree tea) จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขจัดของเสียออกมามากขึ้น
ทำให้เหงื่อของคุณมีกลิ่นดีขึ้น ชานี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าชาลินเดน (linden
tea) ทำจากดอกของต้นไลม์ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายชามะลิ
เมื่อใดควรพบแพทย์
คนที่มีเหงื่อออกง่ายหรือเหงื่อออกมากอาจะเป็นเพราะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน
มีน้ำตาลในเลือดน้อย หรืออาจเป็นปัญหาของระบบประสาทซึ่งควบคุมเหงื่อ
ถ้าคิดว่าเหงื่อออกมากผิดปกติ
หรือกลิ่นตัวของคุณเกิดจากความผิดปกติของร่างกายควรไปพบแพทย์
ผู้ที่ต้องใช้ยางบางชนิดที่อาจทำให้เกิดกลิ่นกาย
ให้ปรึกษาแพทย์ว่าจะเปลี่ยนยาได้หรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น