วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เจ็บคอ


·โรคและอาการ
เมื่อมีอาการเจ็บคอ คุณจะรู้สึกแสบร้อน ระคายเคืองในลำคอ ทำให้พูดหรือกลืนอาหารลำบาก เมื่อส่องดูในลำคอจะเห็นว่าเป็นสีแดงหรืออาจมีจุดสีขาวหรือเหลือง ตามปกติอาการเจ็บคอมักเกิดจากไวรัสหรือแบคทีเรีย ถ้าเกิดจากเชื้อไวรัส (หวัด ไข้หวัดใหญ่) มักค่อยๆ เป็นโดยไม่มีไข้ แต่ถ้าเกิดจากแบคทีเรีย (เช่น การติดเชื้อสเตร็ปโตคอกคัส) มักเกิดขึ้นทันทีพร้อมมีอาการคอบวมและมีไข้ ถ้าคอระคายเคืองจากควันบุหรี่ อากาศแห้งการกลืนน้ำมูก หรืออาการแพ้ ก็มักทำให้เกิดอาการเจ็บคอด้วยเหมือนกัน

กลั้วคอด้วยสมุนไพร
o   ไม่มีวิธีใดที่จะใช้ได้ผลดีและเห็นผลเร็วกว่าวิธีแบบดั้งเดิมคือ การกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ เกลือมีฤทธิ์เป็นย่าฆ่าเชื้ออย่างอ่อนและดึงน้ำออกจากเยื่อเมือกในลำคอด้วย ดังนั้นจึงช่วยขจัดเสมหะได้ วิธีคือ ใช้เกลือ ½ ช้อนชา ผสมในน้ำอุ่น 1 แก้ว (ใช้น้ำอุ่นที่สุดเท่าที่คุณทนได้) จากนั้นนำมากลั้วคอแล้วบ้วนทิ้ง กลั้วคอซ้ำทุกๆ 1 ชั่วโมง แล้วอาการจะดีขึ้น
o   สำหรับน้ำยากลั้วคอที่อาจมีรสชาติเผ็ดร้อนขึ้นมาหน่อย คุณอาจเหยาะซอสทาบาสโกหรือซอสพริกชนิดเผ็ดมากลงไปด้วย โดยใช้ 10-20 หยด ผสมในน้ำอุ่น 1 แก้ว ในซอสทาบาสโกและซอสพริกมีแคปเซอิซิน (capsaicin) ซึ่งเป็นสารให้รสชาติเผ็ดร้อนในพริก สารนี้มีสรรพคุณต้านไวรัส จึงช่วยให้อาการเจ็บคอเพราะติดเชื้อไวรัสดีขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ใช้กลั้วคอเท่านั้นอย่ากลืนลงไปเป็นอันขาดเพราะอาจทำให้ปวดท้องได้
o   อีกวิธีหนึ่งก็คือใช้น้ำผสมเบคกิ้งโซดา (bicarbornate of soda) ใช้เบคกิ้งโซดา ½ ช้อนชา ผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว น้ำเบคกิ้งโซดายังรักษาอาการอักเสบในคอได้ด้วย

พลังบำบัดของน้ำผึ้ง
o   มีการใช้น้ำผึ้งรักษาอาการเจ็บคอมานานแล้ว น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งช่วยเร่งกระบวนการเยียวยาร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยดึงน้ำออกจากเนื้อเยื่อที่อักเสบ ดังนั้นมันจึงช่วยลดอาการบวดและเจ็บคอได้ นอกจากใช้น้ำผึ้งอย่างเดียวแล้ว อาจเติมน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนชาเข้าไปในน้ำร้อนหรือชาสมุนไพร 1 แก้ว
o   น้ำผึ้งผสมมะนาวก็เป็นส่วนผสมที่ดีทั้งช่วยเคลือบลำคอและบรรเทาอาการเจ็บคอด้วย วิธีใช้คือ ใช้น้ำคั้นจากมะนาวสดผสมกับน้ำร้อน และเติมน้ำผึ้งลงไปด้วย 2 ช้อนชา คุณอาจเติมวิสกี้ หรือบรั่นดี หรือเหล้าพอร์ตลงไปด้วยสัก 2 ช้อนชา เพื่อเพิ่มความร้อนและทำให้รู้สึกชา เป็นการบรรเทาอาการเจ็บคอไปด้วย
o   ชาตะวันตกใช้แบล็กเคอร์แรนต์ (black currant) บรรเทาอาการเจ็บคอ วิธีใช้คือ นำแบล็กเคอร์แรนต์ชนิดเข้มข้น เช่น ตรา Ribena นำมาผสมกับน้ำร้อนให้เจือจาง แล้วค่อยๆ จิบช้าๆ

รักษาด้วยชา
o   ชาวตะวันตกใช้ชาที่ทำจากฮอร์ฮาวน์ (horehound) ช่วยลดอาการบวมของเนื้อเยื่อในลำคอ ชาสมุนไพรชนิดนี้ช่วยทำให้น้ำเสมหะใสและทำให้สามารถขับออกมาได้ง่ายขึ้น วิธีคือ ใช้สมุนไพรแห้งสับละเอียด 2 ช้อนชา นำไปจุ่มชงน้ำเดือด 1 แก้ว ทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นกรองกากออกแล้วดื่ม
o   สลิปเปอรีเอล์มก็มีสารมิวซิเลจ (mucilage) ซึ่งเคลือบลำคอและบรรเทาอาการเจ็บคอ ใช้เปลือกด้านในของสลิปเปอรีเอล์ม ชงในน้ำเดือด 2 แก้ว แล้วกรองกากออกก่อนดื่ม
o   รากมาร์ชแมลโล (Althea Officinalis) ก็มีมิวซิเลจเคลือบลำคอเช่นกัน วิธีทำคือใช้สมุนไพรแห้ง 2 ช้อนชาใส่ลงในน้ำเดือด 1 แก้ว ทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นกรองกากออกแล้วแต่น้ำดื่มวันละ 3-5 แก้ว

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
o   เสริมวิตามินซี 1,000 มก. วันละ 3 ครั้ง ไม่ว่าอาการเจ็บคอจะเกิดจากเป็นหวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย วิตามินซีจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามถ้ากินมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสีย ดังนั้นหากกินแล้วมีอาการท้องเสีย ควรลดปริมาณ
o   ใช้เอคิเนเซีย (Echinacea) ขนาดแคปซูลละ 200 มก. วันละ 4 ครั้ง สมุนไพรชนิดนี้มีคุณสมบัติเป็นยาต้านแบคทีเรียและต้านเชื้อไวรัส จึงช่วยให้หายป่วยเร็วขึ้น เมื่อซื้อเอคิเนเซียต้องดูว่าเป็นสารสกัดมาตรฐาน
o   ตัวช่วยอีกอย่างหนึ่งที่ต้านการติดเชื้อได้ดีคือกระเทียม เพราะมีคุณสมบัติต้านแบคทีเรียและเป็นยาฆ่าเชื้อ ถ้าคุณไม่กินกระเทียมสดๆ เพราะไม่ชอบกลิ่นของมัน คุณอาจกินในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยกินขนาด 600 มก. วันละ 4 ครั้ง พร้อมอาหาร และควรเลือกชนิดแคปซูลเคลือบด้วยจะได้ไม่ระคายเคืองระบบย่อยอาหาร
o   อมลูกอมธาตุสังกะสี 1 เม็ด ทุกๆ 3-4 ชั่วโมง จนกว่าอาการเจ็บคอหายไป แต่ห้ามใช้ติดต่อกันเกิน 5 วัน มีการศึกษาวิจัยหนึ่งพบว่าคนที่อมลูกอมที่มีธาตุสังกะสีอยู่ 13 มก. ทุกๆ 2 ชั่วโมง หายจากอาการเจ็บคอ เพราะติดเชื้อไวรัสได้เร็วกว่าคนที่ไม่ใช้วิธีนี้ถึง 3-4 วัน อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังคือ การได้รับสังกะสีมากเกินไปอาจเป็นผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้นคุณจึงใช้ลูกอมสังกะสีได้เพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น (ถ้าจะใช้ในระยะยาวควรได้รับวันละไม่เกิน 25 มก.)

เกิดจากน้ำย่อยไหลย้อนหรือเปล่า
สาเหตุของอาการเจ็บคอที่มักพบได้บ่อยๆ คือเกิดจากน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาข้างบน ซึ่งอาจเกิดจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาตามหลอดอาหารในยามที่คุณหลับ ทำให้รู้สึกแสบร้อนในลำคอ ถ้าเกิดจากสาเหตุนี้ก็มีทางป้องกันได้ โดยนอนหนุนหมอนสูงเข้าไว้ ซึ่งอาจใช้หมอนหนังสือ หรือกล่องวางรองไว้ใต้หมอน วิธีนี้จะช่วยให้น้ำย่อยไม่สามารถไหลย้อนขึ้นมาที่ลำคอได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารใกล้เวลาเข้านอนด้วย

ป้องกันไว้ก่อน
o   ในช่วงฤดูกาลที่คนมักเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่บ่อยๆ ต้องระมัดระวังโดยการล้างมือบ่อยๆ อย่าสัมผัสตา จมูก หรือปาก ทั้งนี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อหวัดหรือไข้หวัดใหญ่
o   ถ้านอนในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศซึ่งอากาศมักจะแห้ง คุณอาจเพิ่มความชื้นให้อากาศในห้องโดยใช้เครื่องทำความชื้น การเพิ่มความชื้นในอากาศเป็นการป้องกันไม่ให้ในลำคอแห้งเกินไปซึ่งอาจทำให้ติดเชื้อง่าย
o   ถ้าไม่มีเครื่องทำความชื้น อาจใช้วิธีวางอ่างน้ำไว้ในด้านที่รับลมจากเครื่องปรับอากาศทุกคืนแทนก็ได้
o   ถ้าคุณสูบบุหรี่ ควรเลิกสูบจะดีกว่า เพราะควันจากบุหรี่จะทำให้ภายในลำคอระคายเคืองอย่างมาก
o   พยายามหายใจทางจมูกแทนที่จะหายใจทางปาก ถ้าหายใจทางปากจะทำให้สูญเสียความชื้นภายในลำคอไป
o   หากคุณมีอาการเจ็บคอบ่อยๆ ควรพิจารณาซื้อแปรงสีฟันอันใหม่ บางครั้งแบคทีเรียที่สะสมอยู่ที่แปรงสีฟัน และถ้าคุณเหงือกเป็นแผลและแปรงฟัน มันอาจเข้าไปในระบบและทำให้ติดเชื้อซ้ำ
o   เสริมระบบภูมิคุ้มกันของคุณให้ดีในช่วงที่โรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ระบาดโดยอาจใช้วิตามิน สมุนไพร และโภชนาการที่ดี ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เด่นในเรื่องนี้คือ วิตามินซี อี และแร่ธาตุอย่างสังกะสีและแมกนีเซียม สมุนไพรกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ได้แก่ โกลเดนซีล (goldenseal) อึ้งคี้ (ปักคี้) นอกจากนี้ในกระเทียม ขิง เห็ดหอม และเห็ดหลินจือ ก็มีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

เมื่อใดควรพบแพทย์
โดยทั่วไปคุณสามารถดูแลตัวเองได้ และอาการมักดีขึ้นใน 1 วัน แต่ถ้ามีอาการกว่า 1 สัปดาห์ ก็ควรพบแพทย์ ถ้ามีอาการเจ็บคอพร้อมมีไข้ 38 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้นมา 3 วันแล้ว หรือถ้ามีอาการปวดหู ก็ต้องพบแพทย์ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ถ้ามีอาการกลืนน้ำลายลำบาก อ้าปากไม่ได้ หรือเสียงแหบ หรือเสมหะข้น หรือมีเลือดปน ก็ต้องพบแพทย์


วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

งูสวัด


·โรคและอาการ
เมื่อไวรัสเฮอร์ปีส์ ซอสเตอร์ (herpes zoster) ที่เคยทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสและซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายเกิดเคลื่อนลงมาที่ปลายประสาทสู่ผิวหนังจะทำให้เกิดโรคงูสวัด ร้อยละ 20 ของผู้ที่เคยเป็นอีสุกอีใสจะเป็นโรคนี้ในภายหลัง โดยมักเป็นเมื่ออายุเลย 50 ปีแล้ว โดยมักเป็นเมื่ออายุเลย 50 ปีแล้ว อาการคือเกิดผื่นแดงและตุ่มใสนูนขึ้นเป็นแนว มักเป็นที่ลำตัวใบหน้า และคอ อาการคัน เสียวแปลบ หรือเจ็บปวดอาจเป็นราว 1 สัปดาห์ แล้วตุ่มใสจะแห้งและตกสะเก็ด เมื่อใดที่ภูมิต้านทานต่ำลงก็อาจเป็นซ้ำได้อีก โดยเฉลี่ยแล้วตุ่มใสและอาการเจ็บปวดจะเป็นราว 2-4 สัปดาห์ แต่บางครั้งอาการปวดตามเส้นประสาทอาจเป็นต่ออีกนานหลายเดือน

กำจัดตุ่มพองและบรรเทาอาการคัน
o   ถ้าที่บ้านคุณปลูกว่านหางจระเข้ไว้ ตัดใบมาแล้วนำส่วนที่เป็นวุ้นมาทาที่ผิวจะบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ หรืออาจใช้เจลอโรเวรา (ถ้าเป็นไปได้ ให้ใช้ชนิดที่มีอโลเวร่า 100%) ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา
o   ใช้ผงฟูผสมน้ำเล็กน้อยมาพอกลงตรงบริเวณที่เป็นตุ่มน้ำใสๆ จะทำให้ตุ่มแห้งและบรรเทาอาการคัน
o   อีกวิธีหนึ่งคือ ใช้เกลือเอปซอม (Epsom salt) ผสมกับน้ำ นำมาพอกลงตรงที่เป็น ทำซ้ำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
o   ต้มน้ำชาเลมอนบาล์ม มีผลการศึกษาว่า สมุนไพรจากตระกูลมินต์นี้ต่อสู่กับเฮอร์ปีส์ไวรัส (herpes viruses) ที่ทำให้เกิดโรคงูสวัสดิ์ได้ดี วิธีคือ ใส่ใบชาแห้ง 2 ช้อนชาลงในน้ำเดือด 1 ถ้วย ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น นำสำลีก้อนไปชุบแล้วนำมาทาที่เป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรบางท่านแนะนำให้เพิ่มประสิทธิภาพน้ำชาโดยใส่โรสออยล์หรือมินต์ เช่น เป็ปเปอร์มิ้นท์หรือสเปียร์มินต์ลงไปด้วย
o   ใช้ของที่มีอยู่ในครัว นั่นคือ น้ำส้มสายชูกับน้ำผึ้ง ผสมสองอย่างนี้เข้าด้วยกันให้ได้ตัวยาเหนียวๆ แล้วนำมาป้ายบริเวณที่ปวด

ขจัดความเจ็บปวด
o   นำผ้าขนหนูผืนเล็กๆ หรือผ้าเช็ดตัวจุ่มในน้ำเย็น บิดให้หมาดแล้วนำมาวางเหนือบริเวณที่ปวด อาจจุ่มในน้ำนมเย็นแทนก็ได้ บางคนบอกว่า น้ำนมช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ดี
o   ถ้ายังปวดอยู่หลังจากที่ตุ่มน้ำใสๆ หายไปแล้ว ใช้ถุงใส่น้ำแข็งมาลูบไปมาบนผิวหนัง ผู้เชี่ยวชาญไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันว่า เพราะอะไรความเย็นจึงช่วยให้อาการดีขึ้นได้ แต่ก็เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลจริงๆ
o   บางคนบอกว่า การกินอาหารรสจัดหรือเผ็ดช่วยให้หายปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารแคปเซอิซิน (capsaicin) ที่มีอยู่ในพริก เชื่อกันว่าเป็นสารที่ช่วยสกัดกั้นไม่ให้มีการสื่อความรู้สึกเจ็บปวดไปตามเซลล์ประสาท

หยุดการลุกลาม
o   เสริมไลซีน (lysine) 1,000 มก. วันละ 3 ครั้ง ระหว่างที่เชื้อกำลังลุกลามอย่างเฉียบพลัน กรดอะมิโนชนิดนี้ป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแตกตัวเพิ่ม และอาจช่วยเร่งการรักษาด้วย
o   กินเอคิเนเซีย (Echinacea) 200 มก. และ โกลเดนซีล (goldenseal) 125 มก. ชนิดสารสกัดวันละ 3 ครั้ง เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ
o   ลองกินแคตส์คลอว์ (cat’s claw) ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ชาวอินเดียแดงในอเมริกาใต้ใช้รักษาโรคต่างๆ มานมนาน และปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นความหวังในการรักษาโรคต่างๆ ที่เกิดจากไวรัส รวมทั้งโรคงูสวัด เมื่อจะใช้ควรเลือกชนิดสารสกัดมาตรฐานที่มีส่วนผสมของแอลคาลอยด์ (alkaloid) 3% กับโพลีฟีนอล (polyphenol) 15% และบนฉลากต้องมีคำว่า Uncaria tomentosa หรือ U. guianensis (มีผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่ฉลากระบุว่าเป็น แคตส์คลอว์ แต่ว่าไม่ใช่ของจริง) กินครั้งละ 250 มก. วันละ 2 ครั้ง

ป้องกันไว้ก่อน
o   คุณไม่ได้ติดเชื้องูสวัดจากคนอื่น หรือแพร่เชื้อไปให้คนอื่น แต่คนที่เป็นงูสวัดอาจแพร่เชื้อโรคอีสุกอีใสไปสู่คนอื่นได้ถ้าคนที่รับเชื้อไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน ดังนั้นป้องกันไม่ให้คนอื่นเป็นโรคด้วยการล้างมือบ่อยๆ และบอกคนใกล้ชิดว่า คุณกำลังป่วย

ความเจ็บปวดหลังจากแผลหายแล้ว
คนจำนวนมากยังมีความรู้สึกเจ็บปวดหลงเหลืออยู่ตามบริเวณที่เคยเป็นงูสวัสดิ์นานหลายเดือน หรืออาจถึงกับหลายปี อาการนี้เรียกว่า อาการปวดประสาทหลังจากเป็นโรคจากไวรัสเฮอร์ปีส์ (post Herpetic Neuralgia) ถ้าคุณมีอาการนี้ ต้องไปพบแพทย์เพื่อรับยากิน เช่น กาบาเพนติน (gabapentin) หรืออามันตาดีน (amantadine) หรือครีมแคปเซอิซิน (capsaicin) ซึ่งเป็นสารสกัดจากพริก แพทย์อาจฉีดยาชาเฉพาะที่ให้คุณ เพื่อระงับปวด วิธีรักษาอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้เอง (แต่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก) คือใช้แผ่นแปะไลโดเดิร์ม (Lidoderm) ซึ่งผลิตโดยบริษัท Endo Pharmaceuticals ของสหรัฐฯ แผ่นแปะนี้มีตัวยาไลโดเคนซึ่งเป็นยาชาเฉพาะที่ และออกแบบมาเพื่อส่งตัวยาไปยังประสาทส่วนที่ได้รับความเจ็บปวดภายใต้ผิวหนัง แทนที่จะส่งไปตามหลอดเลือด ทำให้บรรเทาปวดได้เร็วกว่ามาก

เมื่อใดควรพบแพทย์
คุณควรไปพบแพทย์ภายใน 72 ชั่วโมงนับตั้งแต่มีอาการ การได้รับยาต้านไวรัสทันที ช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคและช่วยไม่ให้มีอาการปวดตามเส้นประสาท (post Herpetic Neuralgia) นอกจากนี้ยังควรพบแพทย์ ทันทีถ้าทนเจ็บปวดจากอาการกำเริบไม่ได้ หรือผื่นหายแล้ว แต่ยังไม่หายปวด ถ้าเป็นงูสวัดที่จมูก หน้าผาก หรือใกล้ดวงตา ต้องพบแพทย์ทันทีเพราะอาจเป็นอันตรายต่อดวงตา


วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โคลิก


· โรคและอาการ
ลูกน้อยของคุณเอาแต่ร้องไห้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ไม่ยอมหยุดร้อง เด็กอาจกำมือแน่นและงอเข่าชิดท้องซึ่งตึงราวหนังหน้ากลอง เด็กอาจผายลมหรือถ่ายท้องก่อนหรือหลังร้องไห้ ทารกที่เอาแต่ร้องไห้มากกว่าวันละ 3 ชั่วโมง 3 วันต่อสัปดาห์ อย่างน้อย 3 สัปดาห์ โดยไม่มีปัญหาสุขภาพใดๆ เรียกว่าอาการโคลิก ซึ่งดูจะหนักหนาที่สุดเมื่อทารกอายุ 4-6 สัปดาห์ และค่อยๆ ซาลงไปเองเมื่ออายุ 3-4 เดือน

คว่ำไว้ดีที่สุด
o   อุ้มเด็กให้อยู่ในท่าคว่ำ ดูเหมือนเด็กที่มีอาการโคลิกจะรู้สึกสบายตัวขึ้นเมื่อได้นอนคว่ำ ถ้าคุณกำลังนั่งเก้าอี้โยก ให้อุ้มเด็กคว่ำไว้บนปลายแขนขวางลำตัว จากนั้นโยกเก้าอี้เบาๆ ใช้มือประคองศีรษะเด็กไว้ด้วย
o   ถ้าต้องการเดินไปมา ให้อุ้มเด็กในลักษณะเดียวกันนี้บนปลายแขนคุณ โดยใช้มือรองรับศีรษะเด็กไว้ แต่อุ้มให้ชิดอกมากขึ้นและใช้มืออีกข้างช่วยประคอง
o   เอาเด็กใส่เป้สะพายแนบอก ซึ่งทำให้เด็กได้รับความอบอุ่นจากไออกและได้ยินเสียงหัวใจคุณเต้นด้วย วิธีนี้ทำให้คุณสามารถพาลูกออกไปเดินเล่นข้างนอกได้ ถ้าต้องอุ้มเด็กที่กำลังร้องโยเยเสียงดังออกไป คุณอาจต้องพึ่งพาที่อุดหูด้วย
o   ลูกของคุณอาจสงบได้เมื่อนอนเปลโดยมีผ้าพันกระชับรอบตัวและนอนในท่าตะแคง แต่คุณต้องเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ ด้วย ถ้าลูกกลิ้งตัวจนคว่ำหน้าในเปล คุณต้องพลิกให้หงาย ถ้าปล่อยให้นอนคว่ำหน้าลง เด็กอาจขาดอากาศจนเสียชีวิตได้

ห่อหุ้มให้กระชับ
o   การห่อหุ้มตัวเด็กทารกเป็นการเลียนแบบภาวะในครรภ์ แนวคิดหลักคือทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัยมากกว่าจะเป็นการให้ความอบอุ่น การห่อหุ้มตัวนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในเปลของเด็กทารก (โรคไหลตายในเด็ก) วิธีคือ คลี่ผ้าฝ้ายปูนอนออก แล้วพับมุมด้านหนึ่งลงมา วางลูกลงนอนหงายบนผ้าโดยให้มุมผ้าที่พับไว้อยู่ใต้คอ ดึงมุมผ้าด้านซ้ายมาปิดแขนและลำตัว แล้วสอดให้กระชับใต้ลำตัวเด็ก จากนั้นดึงมุมผ้าด้านล่างขึ้นมาปิดเท้า แล้วดึงมุมขวามาพันทับอีกทีหนึ่ง เพราะอาจทำให้ร้อนเกินไป และอย่าพันผ้าแน่นเกินไปเพราะอาจทำให้เลือดไม่ไหลเวียน


แกว่งไกวให้หยุดร้อง
o   จับลูกนั่งบนชิงช้าสำหรับเด็ก การแกว่งไกวไปมาอย่างต่อเนื่องเป็นจังหวะ ช่วยทำให้เด็กที่กำลังร้องไห้โยเยสงบลงได้

ใช้ “อุปกรณ์” กล่อม
o   เปิดเครื่องดูดฝุ่น เสียงฮัมที่สม่ำเสมอช่วยกล่อมเด็กบางคนได้ ผลพลอยได้คือพรมที่สะอาดขึ้น ถ้าเครื่องดูดฝุ่นใช้ไม่ได้ผล อาจลองใช้เครื่องเป่าผมดูก็ได้
o   เปิดวิทยุหาสถานีที่มีแต่เสียงซ่าๆ เปิดทิ้งไว้โดยหรี่เสียงให้เบา เสียง “ซ่า” ที่ดังสม่ำเสมอช่วยให้เด็กบางคนเงียบลง หรือคุณอาจหาซีดีที่มีเสียงสำหรับกล่อมเด็กโดยเฉพาะ เช่น เสียงหัวใจเต้น เสียงน้ำตก เสียงฮัมของเครื่องตัดหญ้า หรือเสียงพัดลม
o   เด็กบางคนอาจมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงและแรงสั่นสะเทือนของเครื่องซักผ้า ถ้าคุณกำลังซักผ้าอยู่ ลองจับลูกคุณนั่งในเก้าอี้ที่ตั้งชิดกับเครื่องอบผ้าดู

นิ้วคุณก็ช่วยได้
o   แม้จะยังไม่ถึงเวลาป้อนนม แต่ลูกของคุณจะรู้สึกอุ่นใจหากมีอะไรให้ดูดลองเอานิ้วก้อยของคุณให้ลูกดูดก็ได้ แต่ต้องมั่นใจว่านิ้วสะอาด เล็บตัดสั้นและปราศจากยาทาเล็บ

ตัดอาหารนมออกไป
o   ผู้เชี่ยวชาญบางคนเสนอว่าการร้องไห้นั้นอาจเกิดจากการส่งผ่านนมวัวจากแม่สู่ลูก ถ้าคุณเลี้ยงลูกด้วยนมคุณเองและคุณดื่มนมสดหรือกินอาหารที่ทำจากนม เช่น เนยแข็ง ลองงดกินอาหารเหล่านี้สัก 1 สัปดาห์ ถ้าลองวิธีนี้แล้วไม่ได้ผล ก็สามารถกลับไปกินอาหารอย่างเดิมได้
o   อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มน้ำอัดลม และช็อคโกแลต ก็อาจผ่านน้ำนมของคุณไปสู่ลูกได้ ดังนั้นควรลองงดอาหารเหล่านี้ด้วยสัก 2-3 วัน
o   สังเกตุดูอาหารอื่นๆ ที่คุณกินและอาจส่งผ่านทางน้ำนมของคุณไปสู่ลูก โดยทั่วไปมักเป็นอาหารจำพวกพืชตระกูลถั่ว ไข่ หัวหอม กระเทียม องุ่น มะเขือเทศ กล้วยหอม ส้ม สตอว์เบอร์รี่ และอาหารรสเผ็ดร้อน ถ้างดอาหารเหล่านี้ 1 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น คุณก็กลับไปกินได้ตามเดิม

ลดตัวกระตุ้นภายนอก
o   บางครั้งคุณยิ่งปลอบลูกกลับยิ่งร้องหนักขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะระบบประสาทของเด็กทารกยังพัฒนาไม่เต็มที่จึงยังรับมือกับเสียงต่างๆ ไม่ดีนัก แม้แต่การเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยน เช่น การโยกหรือไกว ก็อาจมีผลต่อลูก เสียงร้องเพลงเบาๆ ของคุณจึงอาจมากเกินกว่าหูเล็กๆ นั้นจะทนรับได้ ดังนั้น ลองปล่อยให้ลูกน้อยนอนร้องไป 10-15 นาทีหรืออุ้มไว้เฉยๆ สักพัก หลีกเลี่ยงการมองตาด้วย เพราะจัดเป็นสิ่งเร้าอย่างหนึ่งเหมือนกัน

จับให้นั่งและทำให้เรอ
o   อุ้มตัวลูกตั้งขึ้นมาขณะป้อนนม อย่านอนขวาง พยายามทำให้เรอบ่อยๆ ให้เรอทุกครั้งที่ป้อนนมจากขวดหมด 1 ออนซ์ และลองเปลี่ยนจุกนมที่แตกต่างกัน จุกนมบางชนิดถูกออกแบบมาให้ลดปริมาณอากาศที่ทารกกลืนเข้าไป
o   อย่าปล่อยให้ทารกดูดขวดนมเปล่าหรือดูดจุกนมที่มีรูใหญ่เกินไป เพราะจะทำให้กลืนอากาศเข้าไปและมีลมในท้อง แม้ลมในท้องจะไม่ใช่สาเหตุของโคลิก แต่บางครั้งก็ทำให้เด็กร้องไห้ได้พอๆ กัน

เมื่อใดควรพบแพทย์
แพทย์ช่วยตรวจดูได้ว่าการที่ลูกน้อยของคุณเอาแต่ร้องนั้น เกิดจากการติดเชื้อหรือเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเปล่า เช่น ถ้าทารกอายุ 1 สัปดาห์ร้องไม่หยุด อาจเป็นโรคร้ายแรงกว่าอาการโคลิก แต่ถ้าแพทย์สรุปว่าลูกคุณแค่เป็นโคลิก อย่างน้อยก็อุ่นใจได้ว่าอาการนี้จะหายไปเอง เมื่อเด็กอายุได้ 3-4 เดือน แต่ถ้าเด็กร้องไห้นานเกิน 4 ชั่วโมงในแต่ละครั้ง ต้องรีบพบแพทย์ทันที รวมทั้งกรณีที่เด็กมีอาการไม่สบายหรือเจ็บปวดก่อนหรือหลังร้องไห้ โดยเฉพาะถ้ามีอาเจียนพุ่งออกมา ท้องผูกหรือท้องเสีย มีไข้ หรือไม่ยอมกินนม ตัวคุณเองก็ควรพบแพทย์เช่นกันหากรับมือกับการร้องไห้ของลูกไม่ไหว และควรขอความช่วยเหลือหากรู้สึกกังวล เป็นทุกข์ หรือกลัวว่าจะทำร้ายลูก

ข้อควรระวัง
ยารักษาโคลิกตามตำรับพื้นบ้านนั้นมีอยู่มากมาย เช่น ใช้น้ำที่คั้นสดๆ จากหัวหอม รวมทั้งยาขนานต่างๆ ที่โฆษณาว่าแก้อาการโคลิกได้ ยาบางสูตรอาจช่วยไล่ลมในท้อง แต่หากลูกมีอาการโคลิก ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ลม ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นวิธีรักษาแบบดั้งเดิมหรือด้วยยาขนานใหม่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก


วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เครียด


· โรคและอาการ
ร่ายกายคุณตื่นตัว บอกให้รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และคุณต้องแก้ไข ความเครียดทำให้ระบบต่อมไร้ท่อผลิตฮอร์โมนที่ลดภูมิคุ้มกัน ทำร้ายหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เป็นหวัดและเจ็บป่วยได้ง่าย จิตใจคุณก็ถูกโจมตีด้วยเช่นกัน โดยจะทำให้รู้สึกหงุดหงิด โกรธง่าย วิตกกังวลมาก ขาดสมาธิ รวมถึงนอนไม่หลับ ปวดท้องเรื้องรัง และทรมานจากอาการปวดศีรษะและภาวะอ่อนเพลีย

สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านกังวล
o   นับตั้งแต่ชาวกรีกโบราณเริ่มชื่นชอบการดื่มชาคาโมไมล์เป็นต้นมา ชาชนิดนี้ก็ได้รับการยกย่องว่ามีคุณสมบัติช่วยรักษาโรค ปัจจุบันมีการดื่มชาราววันละ 1 ล้านถ้วยทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและนักธรรมชาติบำบัดจึงแนะนำว่า ชาคาโมไมล์เป็นวิธีเยียวยาความเครียดที่ยอดเยี่ยม โดยให้ดื่มครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 3 ครั้ง
o   คุณอาจเติมคาโมไมล์ลงในสมุนไพรอื่นๆ ที่ช่วยให้จิตใจสงบ อย่างเช่น ลาเวนเดอร์ และ วาลิเรียน (valerian) หรืออาจหยดผสมในน้ำอาบ เพื่อแช่ผ่อนคลายประสาท วิธีคือห่อสมุนไพรอบแห้งในผ้าขาวบาง นำไปวางลงใต้ก๊อกน้ำเมื่อคุณเตรียมน้ำอาบ
o   กินวิตามินซีเสริม ในการศึกษาหนึ่งพบว่าเมื่อให้คนที่อยู่ในภาวะกดดันได้รับวิตามินซีเสริมวันละ 1,000 มก. ต่อวัน ปรากฎว่าคนกลุ่มนี้มีความดันเลือดเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยลง และระดับฮอร์โมนความเครียดกลับคืนสู่ระดับปกติเร็วกว่าคนที่ไม่ได้รับวิตามินซี
o   ลองพิจารณาโสมเกาหลี (panax ginseng) สมุนไพรที่ได้รับการยกย่องว่ามีสรรพคุณปกป้องร่างกายจากความเครียด โดยได้ผลเป็นที่ปรากฎแล้วว่าช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนความเครียด และสนับสนุนการทำงานของอวัยวะที่ผลิตฮอร์โมนนี้ ซึ่งได้แก่ ต่อมใต้สมอง (pituitary) ไฮโปธาลามัส (ส่วนล่างของสมองส่วนหน้าที่ยื่นออกมาติดกับต่อมใต้สมอง) ต่อมหมวกไต กินโสมวันละ 100-250 มก. วันละ 2 ครั้งในช่วงที่มีภาวะเครียด ควรเริ่มกินในปริมาณต่ำสุดก่อนแล้วจึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณ ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรกินโสม 2-3 สัปดาห์ เว้น 1 สัปดาห์ แล้วจึงกลับมากินใหม่ สลับกันไป

รวบรวมสติ
o   การผ่อนคลายด้วยการทำสมาธิได้รับการพิสูจน์ทางคลินิกแล้วว่าสามารถต้านทานความเครียดได้ วิธีคือ นั่งในอิริยาบถที่สบาย ในที่ที่ไม่มีใครรบกวน หลับตา เอาใจจดจ่ออยู่กับคำหรือวลีใดวลีหนึ่ง ตัวอย่างเช่น “ไม่เป็นไรแล้ว” ในขณะที่คุณกำลังหายใจเข้าและออกอยู่อย่างตั้งใจ ให้พูดวลีนั้นซ้ำทุกครั้งที่หายใจออก ถ้าจิตใจคุณวอกแวกไปคิดเรื่องอื่น ก็เพียงแต่เลิกใส่ใจเรื่องนั้น แล้วหันกลับมาท่องคำหรือวลีเดิมต่อไป ควรฝึกประมาณ 10-20 นาที อย่างน้อยวันละครั้ง
o   ผลการวิจัยพบว่า เสียงดนตรีบางชนิดสามารถลดอัตราการเต้นของหัวใจความดันเลือด และแม้แต่ระดับฮอร์โมนความเครียดในเลือดได้ ดังนั้นจึงควรหยุดพักแล้วฟังดนตรีที่คุณรู้สึกว่าช่วยประโลมใจ
o   ฝึกเดินทางข้ามเวลา เมื่อคุณรู้สึกมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบันลองหวนนึกถึงเรื่องที่คุณเครียดเมื่อปีที่แล้ว เรื่องนั้นสำคัญมากน้อยแค่ไหนในวันนี้ ทีนี้ลองนึกไปถึง 1 ปีข้างหน้าต่อจากนี้ แล้วมองย้อนมาดูปัญหายุ่งยากใจในปัจจุบัน บางทีการ “ก้าวกระโดดไปข้างหน้า” จะช่วยให้คุณได้มุมมองที่ดีขึ้นต่อสิ่งที่คุณกำลังพยายามผ่านไปให้ได้ในปัจจุบัน

ฝึกการผ่อนคลายแบบต่อเนื่อง
o   เมื่อคุณรู้สึกตึงเครียดมาก ลองใช้เทคนิคที่เรียกว่า การผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง (progressive relaxation) วิธีคือ นั่งหรือนอนในสถานที่เงียบสงบและสบาย หลับตาลง งอนิ้วเท้าให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ค้างไว้ประมาณ 10 วินาทีแล้วผ่อนคลาย จากนั้นเกร็งและผ่อนคลายเท้า ขา ท้อง นิ้วมือ แขน คอ และหน้า หรือพูดอีกอย่างคือ “ทำ” ความเครียดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะ แล้วอุปมาว่า “ปล่อยมันไป”

ป้องกันไว้ก่อน
o   ออกไปเดินเล่นหรือออกกำลังกายอย่างอื่นสัก 20 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอนดอร์ฟินในสมอง ทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นและคลายความกังวล
o   จำกัดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และน้ำตาล ถ้าคุณสูบบุหรี่ ก็เลิกเสีย เพราะสารเหล่านี้ไปกระตุ้นปฏิกิริยาสู้หรือถอยของร่างกาย ก่อให้เกิดอาการเครียดทางร่างกาย ได้แก่ หัวใจเต้นเร็ว ตัวสั่น เหงื่อออกที่มือ วิตกกังวล และหงุดหงิด
o   ทำงานอดิเรกที่ช่วยให้จิตใจสงบ การทำสวน ถักนิตติ้ง ต่อจิ๊กซอว์ อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมยามว่างอื่นๆ ที่คุณชอบจะช่วยให้คุณหยุดพักจากความเครียดต่างๆ ในชีวิต

เมื่อใดควรพบแพทย์
ควรพบแพทย์ถ้าอาการจากความเครียดส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคุณ อาการดังกล่าว ได้แก่ กังวลมาก ไม่สามารถรับความพ่ายแพ้หรือผิดหวัง เฉื่อยชา ปวดศีรษะเรื้อรังหรือรุนแรง ปวดหลังหรือคอ กินอาหารมากเกินไป และอาการทางร่างกาย เช่น ผื่นเอ็กซีมา ลำไส้แปรปรวน หรือไมเกรนความเครียดเป็นเวลานาน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดความดันเลือดสูง โรคหัวใจหลอดเลือดในสมองแตก/ตีบ และโรคอื่นๆ


วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เครียด


·  โรคและอาการ
ร่ายกายคุณตื่นตัว บอกให้รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และคุณต้องแก้ไข ความเครียดทำให้ระบบต่อมไร้ท่อผลิตฮอร์โมนที่ลดภูมิคุ้มกัน ทำร้ายหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เป็นหวัดและเจ็บป่วยได้ง่าย จิตใจคุณก็ถูกโจมตีด้วยเช่นกัน โดยจะทำให้รู้สึกหงุดหงิด โกรธง่าย วิตกกังวลมาก ขาดสมาธิ รวมถึงนอนไม่หลับ ปวดท้องเรื้องรัง และทรมานจากอาการปวดศีรษะและภาวะอ่อนเพลีย

สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านกังวล
o   นับตั้งแต่ชาวกรีกโบราณเริ่มชื่นชอบการดื่มชาคาโมไมล์เป็นต้นมา ชาชนิดนี้ก็ได้รับการยกย่องว่ามีคุณสมบัติช่วยรักษาโรค ปัจจุบันมีการดื่มชาราววันละ 1 ล้านถ้วยทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและนักธรรมชาติบำบัดจึงแนะนำว่า ชาคาโมไมล์เป็นวิธีเยียวยาความเครียดที่ยอดเยี่ยม โดยให้ดื่มครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 3 ครั้ง
o   คุณอาจเติมคาโมไมล์ลงในสมุนไพรอื่นๆ ที่ช่วยให้จิตใจสงบ อย่างเช่น ลาเวนเดอร์ และ วาลิเรียน (valerian) หรืออาจหยดผสมในน้ำอาบ เพื่อแช่ผ่อนคลายประสาท วิธีคือห่อสมุนไพรอบแห้งในผ้าขาวบาง นำไปวางลงใต้ก๊อกน้ำเมื่อคุณเตรียมน้ำอาบ
o   กินวิตามินซีเสริม ในการศึกษาหนึ่งพบว่าเมื่อให้คนที่อยู่ในภาวะกดดันได้รับวิตามินซีเสริมวันละ 1,000 มก. ต่อวัน ปรากฎว่าคนกลุ่มนี้มีความดันเลือดเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยลง และระดับฮอร์โมนความเครียดกลับคืนสู่ระดับปกติเร็วกว่าคนที่ไม่ได้รับวิตามินซี
o   ลองพิจารณาโสมเกาหลี (panax ginseng) สมุนไพรที่ได้รับการยกย่องว่ามีสรรพคุณปกป้องร่างกายจากความเครียด โดยได้ผลเป็นที่ปรากฎแล้วว่าช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนความเครียด และสนับสนุนการทำงานของอวัยวะที่ผลิตฮอร์โมนนี้ ซึ่งได้แก่ ต่อมใต้สมอง (pituitary) ไฮโปธาลามัส (ส่วนล่างของสมองส่วนหน้าที่ยื่นออกมาติดกับต่อมใต้สมอง) ต่อมหมวกไต กินโสมวันละ 100-250 มก. วันละ 2 ครั้งในช่วงที่มีภาวะเครียด ควรเริ่มกินในปริมาณต่ำสุดก่อนแล้วจึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณ ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรกินโสม 2-3 สัปดาห์ เว้น 1 สัปดาห์ แล้วจึงกลับมากินใหม่ สลับกันไป

รวบรวมสติ
o   การผ่อนคลายด้วยการทำสมาธิได้รับการพิสูจน์ทางคลินิกแล้วว่าสามารถต้านทานความเครียดได้ วิธีคือ นั่งในอิริยาบถที่สบาย ในที่ที่ไม่มีใครรบกวน หลับตา เอาใจจดจ่ออยู่กับคำหรือวลีใดวลีหนึ่ง ตัวอย่างเช่น “ไม่เป็นไรแล้ว” ในขณะที่คุณกำลังหายใจเข้าและออกอยู่อย่างตั้งใจ ให้พูดวลีนั้นซ้ำทุกครั้งที่หายใจออก ถ้าจิตใจคุณวอกแวกไปคิดเรื่องอื่น ก็เพียงแต่เลิกใส่ใจเรื่องนั้น แล้วหันกลับมาท่องคำหรือวลีเดิมต่อไป ควรฝึกประมาณ 10-20 นาที อย่างน้อยวันละครั้ง
o   ผลการวิจัยพบว่า เสียงดนตรีบางชนิดสามารถลดอัตราการเต้นของหัวใจความดันเลือด และแม้แต่ระดับฮอร์โมนความเครียดในเลือดได้ ดังนั้นจึงควรหยุดพักแล้วฟังดนตรีที่คุณรู้สึกว่าช่วยประโลมใจ
o   ฝึกเดินทางข้ามเวลา เมื่อคุณรู้สึกมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบันลองหวนนึกถึงเรื่องที่คุณเครียดเมื่อปีที่แล้ว เรื่องนั้นสำคัญมากน้อยแค่ไหนในวันนี้ ทีนี้ลองนึกไปถึง 1 ปีข้างหน้าต่อจากนี้ แล้วมองย้อนมาดูปัญหายุ่งยากใจในปัจจุบัน บางทีการ “ก้าวกระโดดไปข้างหน้า” จะช่วยให้คุณได้มุมมองที่ดีขึ้นต่อสิ่งที่คุณกำลังพยายามผ่านไปให้ได้ในปัจจุบัน

ฝึกการผ่อนคลายแบบต่อเนื่อง
o   เมื่อคุณรู้สึกตึงเครียดมาก ลองใช้เทคนิคที่เรียกว่า การผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง (progressive relaxation) วิธีคือ นั่งหรือนอนในสถานที่เงียบสงบและสบาย หลับตาลง งอนิ้วเท้าให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ค้างไว้ประมาณ 10 วินาทีแล้วผ่อนคลาย จากนั้นเกร็งและผ่อนคลายเท้า ขา ท้อง นิ้วมือ แขน คอ และหน้า หรือพูดอีกอย่างคือ “ทำ” ความเครียดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะ แล้วอุปมาว่า “ปล่อยมันไป”

ป้องกันไว้ก่อน
o   ออกไปเดินเล่นหรือออกกำลังกายอย่างอื่นสัก 20 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอนดอร์ฟินในสมอง ทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นและคลายความกังวล
o   จำกัดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และน้ำตาล ถ้าคุณสูบบุหรี่ ก็เลิกเสีย เพราะสารเหล่านี้ไปกระตุ้นปฏิกิริยาสู้หรือถอยของร่างกาย ก่อให้เกิดอาการเครียดทางร่างกาย ได้แก่ หัวใจเต้นเร็ว ตัวสั่น เหงื่อออกที่มือ วิตกกังวล และหงุดหงิด
o   ทำงานอดิเรกที่ช่วยให้จิตใจสงบ การทำสวน ถักนิตติ้ง ต่อจิ๊กซอว์ อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมยามว่างอื่นๆ ที่คุณชอบจะช่วยให้คุณหยุดพักจากความเครียดต่างๆ ในชีวิต

เมื่อใดควรพบแพทย์
ควรพบแพทย์ถ้าอาการจากความเครียดส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคุณ อาการดังกล่าว ได้แก่ กังวลมาก ไม่สามารถรับความพ่ายแพ้หรือผิดหวัง เฉื่อยชา ปวดศีรษะเรื้อรังหรือรุนแรง ปวดหลังหรือคอ กินอาหารมากเกินไป และอาการทางร่างกาย เช่น ผื่นเอ็กซีมา ลำไส้แปรปรวน หรือไมเกรนความเครียดเป็นเวลานาน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดความดันเลือดสูง โรคหัวใจหลอดเลือดในสมองแตก/ตีบ และโรคอื่นๆ


คอเลสเตอรอลสูง


·   โรคและอาการ
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่ากลัวขึ้นในหลอดเลือดแดงของคุณ ทำให้ไขมันต่างๆ ที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดเสียสมดุล โดยมีแอลดีแอลคอเลสเตอรอล (low-density lipoprotein : LDL) อยู่มากเกินจนไปอุดตันหลอดเลือด ทำให้คุณเสี่ยงต่อภาวะหัวใจพิบัติขณะเดียวกันคุณอาจมีเอชดีแอลคอเลสเตอรอล (high-density lipoprotein : HDL) ไม่มากพอที่จะเป็น “รถขยะ” ลำเลียงแอลดีแอลไปยังตับเพื่อกำจัดออกจากร่างกาย ทำให้คุณมีคอเลสเตอรอลสูง และเกิดอาการเจ็บป่วยตามมา

ขจัดไขมัน “ร้าย”
o   ขจัดไขมันอิ่มตัวจากอาหารของคุณ โดยเริ่มจากการหันมากินเนื้อสัตว์ไม่ติดมันและผลิตภัณฑ์จากนมพร่องมันเนย ตัดอาหารประเภทเนื้อที่ผ่านกระบวนการ เช่น ซาลามี เนื้อสับบรรจุกระป๋อง และพยายหมูออกไปให้หมด
o   อยู่ห่างๆ น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าวซึ่งมีไขมันอิ่มตัวสูงและพบมากในอาหารสำเร็จรูป เช่น บิสกิต และเค้ก
o   หลีกเลี่ยงกรดไขมันแปรสภาพ ไขมันชนิดนี้เกิดจากน้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการอัดไฮโดรเจนจนเป็นก้อน เช่น มาร์การีน กรดไขมันแปรสภาพส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในแบบเดียวกับไขมันอิ่มตัว อาหารที่มีไขมันชนิดนี้สูง ได้แก่ เค็กสำเร็จรูป บิสกิต ขนมขบเคี้ยว และขนมปัง คุณควรอ่านรายละเอียดส่วนประกอบของอาหารเหล่านี้ก่อนซื้อ
o   กินผัก ผลไม้สด และธัญพืชให้มากขึ้น อาหารเหล่านี้นอกจากมีไขมันต่ำและปราศจากคอเลสเตอรอลแล้ว ยังอุดมด้วยเส้นใยที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลและมีวิตามินกับสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

เพิ่มไขมัน “ดี”
o   งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่าน้ำมันมะกอกไม่เพียงแต่ช่วยลดแอลดีแอลคอเลสเตอรอลเท่านั้น แต่ยังเพิ่มเอชดีแอลคอเลสเตอรอลด้วย ผลการวิจัยหนึ่งบ่งชี้ว่าคนที่กินน้ำมันมะกอกวันละ 2 ช้อนโต๊ะมีระดับคลอเลสเตอรอลร้ายลดลงในเวลาค่า 1 สัปดาห์ คุณอาจใส่น้ำมันมะกอกในสลัดหรือใช้แทนมาร์การีนหรือน้ำมันชนิดอื่นก็ได้
o   กินถั่วเปลือกแข็งเพราะมีไขมันไม่อิ่มตัวสูงรวมถึงโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็น วอลนัตและอัลมอนด์ช่วยลดคอเลสเตอรอลร้ายได้ดี ลองกินถั่ววันละ 1 กำเล็ก แล้วดูว่าระดับคอเลสเตอรอลลดลงแค่ไหน แต่เนื่องจากถั่วมีแคลอรี่สูง ดังนั้นต้องระวังอย่าเผลอกินของว่างอย่างอื่นควบคู่ไปด้วยเชียว
o   กินอะโวคาโดวันละลูก ซึ่งอาจลดคลอเลสเตอรอลร้ายลงได้มากถึง 17% อะโวคาโดมีไขมันสูงเช่นเดียวกับถั่ว (และแคลอรีก็สูงด้วย) แต่ส่วนใหญ่เป็นไขมันอิ่มตัว
o   กินเนยถั่ว แม้จะมีแคลอรีสูงแต่ไขมันส่วนใหญ่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวซื้อชนิดที่ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติและปราศจากไขมันพืชดัดแปลง

เสริมด้วยโอเมก้า-3
o   เนื้อปลามีกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลร้าย กินปลาให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งแม้จะเป็นแค่ปลาซาร์ดีนกระป๋องก็ตาม ถ้าจะให้ได้ผลดีที่สุดควรกินปลาสด เช่น ปลาซาร์ดีน แม็กเคอเรล ปลาทูน่า และแซลมอน ซึ่งต่างก็อุดมไปด้วยโอเมก้า-3 อย่างไรก็ตาม ปลาทูน่ากระป๋องสูญเสียไขมันอันทรงคุณค่าไปเกือบหมดเมื่อผ่านกระบวนการ ในขณะที่ปลาซาร์ดีนกระป๋องหรือปลากระป๋องชนิดอื่นๆ ยังคงมีไขมันดีอยู่ครบถ้วน ส่วนปลาทะเลของไทยที่มีโอเมก้า-3 มาก ได้แก่ ปลาทู รองลงมาคือปลาอีกา ปลากระพง และปลาตาเดียว
o   ถ้าคุณไม่ชอบกินปลาเอาเสียเลย อาจกินในรูปน้ำมันปลาซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ทั้งชนิดอีพีเอ (EPA) และดีเอชเอ (DHA) โดยใช้ขนาด 1,000 มก. วันละ 2 ครั้ง
o   ใส่หัวหอมในอาหาร โดยเฉพาะหอมแดง หัวหอมอุดมไปด้วยสารประกอบซัลเฟอร์ ซึ่งช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลดีในร่างกาย และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าเควอร์ซิติน (quercetin) สามารถขจัดคอเลสเตอรอลร้ายได้ดี สีแดงในหัวหอมแดงเกิดจากฟลาโวนอยด์ (flavonoid) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
o   เมล็ดปอ (flaxseed) มีกรดไขมันโอเมก้า-3 และเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำ คุณอาจบดเมล็ดปอแล้วเติมลงในโยเกิร์ตหรือซีเรียล จากงานวิจัยชิ้นหนึ่ง พบว่าการกินเมล็ดปอบดวันละ 2 ช้อนโต๊ะ ช่วยลดคอเลสเตอรอลร้ายลงได้ถึง 18% หากคุณมีคอเลสเตอรอลสูง การกินเมล็ดปอจะได้ผลดีกว่าน้ำมันปอโดยต้องบดเมล็ดที่ซื้อมาก่อนจะกินไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่ย่อย

ลองข้าวโอ๊ตบ้าง
o   ข้าวโอ๊ตตุ๋นอุดมด้วยเส้นใยชนิดละลายน้ำ และจะทำหน้าที่เป็นเจลเคลือบลำไส้ไม่ให้ดูดซึมไขมันมากเกินไป การกินข้าวตุ๋นวันละชามมีผลช่วยลดคอเลสเตอรอลลงอย่างเห็นได้ชัด เลือกข้าวโอ๊ตชนิดที่สุกเร็วหรือแบบดั้งเดิมจะดีกว่าแบบสำเร็จรูป
o   อาหารชนิดอื่นๆ ที่ให้เส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำ ได้แก่ ลูกพรุน ข้าว บาร์เลย์ พืชตระกูลถั่ว มะเขือม่วง และหน่อไม้ฝรั่ง
o   เมล็ดซิลเลี่ยม (psyliium) ก็เป็นแหล่งเส้นใยอาหารที่ดี ส่วนใหญ่มีขายตามร้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและร้านขายยา เมล็ดซิลเลียม 1 ช้อนโต๊ะ ให้เส้นใยอาหารเท่ากับซีเรียล 1 ขาม คุณอาจเติมเมล็ดซิลเลียมบุบลงในอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือซื้อยาระบายที่ทำจากซิลเลียมประมาณวันละ 10 กรัมเป็นเวลา 8 สัปดาห์ สามารถลดคอเลสเตอรอลร้ายลงได้ถึง 7%

น้ำส้มสดลดคอเลสเตอรอล
o   น้ำส้มคั้นสดหรือจากกล่องสามารถปรับระดับคอเลสเตอรอลให้คุณได้ โดยการวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าผู้ที่ดื่มน้ำส้มวันละ 3 แก้วเป็นเวลา 1 เดือน สามารถเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลดีได้ 21% และลดสัดส่วนของคอเลสเตอรอลร้ายต่อคอเลสเตอรอลดีลงได้ 16%

ไวน์บ้างก็ดี
o   เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ว่าชนิดใด ช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลดีได้ สำหรับผู้หญิงอย่าดื่มเกิน 1 แก้ว ส่วนผู้ชายก็อย่าเกิน 2 แก้ว ไม่เช่นนั้นจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ไวน์แดงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้จากเปลือกองุ่นอีกด้วย

ออกกำลังกายเป็นประจำ
o   เดินเร็วๆ หรือออกกำลังกายบนอุปกรณ์ในห้องยิมวันละ 30 นาที หรืออาจว่ายน้ำหรือวิ่งออกกำลังกายก็ได้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมีประโยชน์มากมาย เช่น ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในสมองแตก/ตีบ ควบคุมเบาหวานและความดันเลือดสูง ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ

ไนอะซินควรหรือไม่ควร
ไนอะซินหรือวิตามินบี 2 นั้น ถ้ากินในปริมาณมากสามารถลดระดับคลอเลสเตอรอลได้ แต่ไม่ควรกินโดยปราศจากการกำกับดูแลของแพทย์ ไนอะซินจะลดแอลดีแอลคอเลสเตอรอลซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลร้าย แต่เพิ่มระดับเอชดีแอลคอเลสเตอรอลซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลดี จึงมีฤทธิ์คล้ายยาลดคลอเลสเตอรอลที่แพทย์ใช้ อย่างไรก้ตามหากต้องการผลทางการรักษา คุณต้องกินไนอะซินเข้าไปปริมาณมาก ซึ่งอาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงต่างๆ เช่น รู้สึกร้อนวูบวาบ และอาจเป็นอันตรายต่อตับ ดังนั้นคุณไม่ควรกินไนอะซินโดยปราศจากคำแนะนำจากแพทย์

ถั่วเหลือดีมีประโยชน์
มิลค์เชคถั่วเหลือรสอร่อยและลดคอเลสเตอรอลได้ด้วย ผสมนมถั่วเหลืองรสวานิลลา 1 ถ้วยกับเมล็ดปอบด 2 ช้อนโต๊ะ คุณอาจเติมสตรอว์เบอรี่สดแช่แข็งสักเล็กน้อย จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดใส่เครื่องปั่นจนเข้ากันดี โปรตีนถั่วเหลืองและเมล็ดปอช่วยลดแอลดีแอลคอเลสเตอรอลและเพิ่มเอชดีแอลคอเลสเตอรอล ส่วนผลสตรอว์เบอรี่ให้เส้นใยอาหารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้

กระเทียมกับขิง
o   กินกระเทียมทุกวันไม่ว่าจะเป็นแบบสดหรือเม็ด กระเทียมมีสารประกอบอัลลิซิน (allicin) ซึ่งเชื่อว่ามีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล ถ้าคุณเลือกกินในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควรกินชนิดที่มีสารเคลือบซึ่งไม่ทำให้เกิดกลิ่นปาก ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 1 เม็ดควรมีสารอัลลิซินรวม 4,000 ไมโครกรัม หลังจากใช้ไปแล้ว 3 เดือน คุณควรตรวจสอบระดับคอเลสเตอรอลดูว่ามีความเปลี่ยนแปลงหรือไม่
o   กินขิงแบบแคปซูลขนาด 100-200 มก. วันละ 4 ครั้ง มีการศึกษาพบว่าสารประกอบในขิงช่วยลดการดูดซึมและเพิ่มการขับคอเลสเตอรอลร้ายออกจากร่างกาย

เมื่อใดควรพบแพทย์
ถ้าคุณรู้สึกกังวลว่าตนเองอาจมีระดับคอเลสเตอรอลสูง หรือมีสมาชิกในครอบครัวที่มีคอเลสเตอรอลเกินพิกัดก็ควรพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจให้แน่ใจ แพทย์อาจให้คุณกินยาลดคอเลสเตอรอล หรือแนะนำให้ปรับเปลี่ยนเรื่องอาหารและการใช้ชีวิต

รู้หรือไม่
ผลการวิจัยล่าสุดพบว่าขนมปังต่างๆ อาจมีไขมันสูงกว่าที่คุณคิด เนื่องจากมีการเติมไขมันแปรสภาพเข้าไปในขนมปังเพื่อให้รสชาตดีขึ้นและเก็บได้นานขึ้น ขนมปังบางยี่ห้อเพียง 3 แผ่นอาจมีไขมันมากกว่าช็อกโกแลต 1 แท่งเสียอีก ดังนั้นคุณควรอ่านฉลากให้ดีและเลือกชนิด ที่มีไขมันเพียง 1 กรัมต่อแผ่น